บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 345

บทที่ 345 ความทะนงตนอย่างคนอาวุโส

บทที่ 345 ความทะนงตนอย่างคนอาวุโส

การตายของกลุ่มโจรแร้งพเนจรไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คนในปราการเดียวดายอีกต่อไป หลังจากเคลื่อนย้ายซากศพของกลุ่มโจรออกไป ตามด้วยการชะคราบโลหิตที่พื้นจนสะอาดสะอ้าน มันก็นำมาซึ่งบรรยากาศคึกคัก อึกทึกครึกโครมและเสียงที่ดังจอแจกลับคืนมาอีกครั้ง

สถานที่อย่างปราการเดียวดายมักเต็มไปด้วยความวุ่นวายเพราะมีทั้งผู้บ่มเพาะที่ดีและร้ายกาจปะปนกันอยู่ที่นี่ จึงมักเกิดเหตุนองเลือดไม่เว้นแต่ละวัน วันนี้กลุ่มโจรแร้งพเนจรถูกกำจัดและพรุ่งนี้อาจมีโจรเร่ร่อนกลุ่มใหม่มาปรากฏตัวขึ้นก็เป็นได้

โดยสรุปแล้วมันเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย เลือด การเข่นฆ่า และความวุ่นวาย รวมทั้งเหตุความขัดแย้งและการแก้แค้นมีให้เห็นบ่อยครั้ง ดังนั้นผู้คนที่มีชีวิตอยู่ด้วยการผจญภัยไปในป่าอาถรรพ์มานานจึงคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น

แม้ว่าบรรยากาศรอบด้านจะคึกคักเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าส่งเสียงเอ็ดตะโรหรือไม่กระทั่งเหลียวไปดูที่มุมห้องโถงตรง ๆ ด้วยซ้ำ เนื่องจากก่อนหน้านี้เฉินซีเพิ่งจะสังหารโจรทั้งกลุ่มด้วยตัวเอง และขณะนี้เขากำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเก่าคร่ำคร่าตัวหนึ่งโดยมีอวิ๋นน่านั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามด้วยท่าทางเย้ายวน

ความเย็นยะเยือกและไร้ความรู้สึกอย่างร้ายกาจที่เกิดขึ้นเป็นข้องเท็จจริงที่พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังที่แกร่งกล้าของชายคนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหรือเหยียดหยามเขาเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ปราการเดียวดายจะไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่ที่นี่ก็มีพวกพ่อค้าวาณิชแวะเวียนมาประจำการไม่ขาดสาย คนเหล่านี้ถูกเรียกขานว่านายหน้า พวกเขามิใช่แค่จำหน่ายสุรา โอสถวิญญาณ สมุนไพรจิตวิญญาณและสินค้าทั่วไปที่จำเป็นสำหรับผู้บ่มเพาะหรือใช้เพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น พวกเขายังขายข้อมูลและรับจ้างทำธุระเบ็ดเตล็ดด้วย จึงทำให้พวกเขากลายเป็นที่นิยมอย่างมาก

ด้วยสาเหตุนี้เอง จึงทำให้นายหน้าเหล่านี้ที่แม้จะไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่พวกเขาแต่อย่างใด

ร่างไร้วิญญาณของเหล่าโจรจากกลุ่มโจรแร้งพเนจรและคราบเลือดบนพื้นได้ถูกเคลื่อนย้ายและชำระล้างเสร็จสิ้นโดยฝีมือของนายหน้าหนุ่มที่อวิ๋นน่าเรียกมาและรับโอสถกลั่นแรกเริ่มจำนวนร้อยเม็ดเป็นค่าจ้าง

คนหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าซานหย่ง เขามีรูปร่างผอมบางและมีพลังอ่อนแอ ทว่ามีแววตาฉลาดเฉลียว ผู้ใดมองแวบเดียวก็แยกแยะได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบ อาจกล่าวได้ว่าการเลือกเป็นนายหน้าของเขานั้นเสมือนปลาได้น้ำไม่ผิดเพี้ยน

เวลานี้ซานหย่งกำลังนั่งหน้าขรึมเพื่อแสดงความเคารพต่ออีกฝ่าย ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนและแสดงสีหน้าว่ากำลังฟังอย่างตั้งใจ

คนที่เหลือบไปเห็นเข้าเป็นต้องตาโตอ้าปากค้างกันเป็นแถว คนส่วนใหญ่ที่รู้จักคนหนุ่มซานหย่งจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่เอาการเอางานและออกจะเกียจคร้าน แต่ตอนนี้เห็นเขานั่งหน้าขรึมสีหน้าจริงจัง ดังนั้นจะไม่ให้พวกเขาแปลกใจได้อย่างไร?

แต่แล้วทุกคนก็เข้าใจ เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่เพิ่งจะคร่าชีวิตคนไปสามสิบชีวิต เป็นผู้ใดก็ต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ จริงหรือไม่?

“แสดงว่าถ้าข้าต้องการขึ้นไปอยู่ที่ชั้นบน ความแข็งแกร่งของข้าก็ต้องสอดคล้องกันด้วยสินะ” เฉินซีถามคนที่อยู่ตรงข้าม ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้แสดงความจำนงที่จะขึ้นไปยังชั้นบน หากแต่ถูกอวิ๋นน่ายับยั้งเอาไว้ โดยนางได้บอกกับเขาว่าจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง มิฉะนั้นจะถูกขับไล่ทันที และบางกรณีที่ร้ายแรงอาจถึงขั้นถูกฆ่าตายเสียด้วยซ้ำ!

การที่คนจะได้เข้าไปใช้ห้องต้องอาศัยพละกำลัง ประเด็นนี้ได้สร้างความประหลาดใจแก่เขาเป็นอย่างมาก และเพื่อให้คลายความสงสัย ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจว่าจะหาทางแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป ทว่าสิ่งที่เขาได้รู้จากอวิ๋นน่าก็เป็นแค่เพียงแค่เรื่องผิวเผินเท่านั้น ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงตามตัวคนที่เป็นนายหน้ามาสอบถามให้รู้เรื่อง และเจ้าหนุ่มน้อยซานหย่งก็คือนายหน้าคนนั้น

ในขณะที่กำลังพูดคุยกัน เฉินซีได้กวาดสายตาไปรอบข้างและพบว่าปราการเดียวดายมีบริเวณกว้างขวางมาก แค่โถงแห่งนี้ห้องเดียวก็สามารถรองรับผู้คนได้นับพันชีวิต เมื่อลองเงยหน้าขึ้นมองจากจุดที่กำลังนั่งอยู่นั้น มันก็เผยให้เห็นว่าปราการเดียวดายมีการแบ่งเป็นชั้นที่สอง สาม และสี่ ซึ่งยิ่งชั้นสูงขึ้นจำนวนห้องในแต่ละชั้นจะยิ่งน้อยลงตามลำดับ ยกตัวอย่างเช่น ชั้นแรกมีเกือบพันห้อง แต่ชั้นสี่กลับมีจำนวนห้องไม่เกินสามสิบห้องเท่านั้น

“ถูกแล้วขอรับ ห้องของที่นี่จะกระจายกันไป ส่วนใครจะได้ครอบครองนั้นก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเจ้าตัว” ซานหย่งรีบตอบรับเสียงเร็วด้วยความสุภาพเรียบร้อย “ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งต่ำที่สุดจะได้อยู่ในชั้นที่หนึ่งเท่านั้น โดยส่วนมากมักเป็นผู้บ่มเพาะในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั่วไปซึ่งขาดความแข็งแกร่งและอ่อนด้อยเกินไป ขณะที่ชั้นสองเป็นที่พำนักของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ ชั้นสามเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ ส่วนชั้นที่สี่เป็นของยอดฝีมือในขอบเขตสถิตกายาขอรับ”

เสียงคนพูดหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยต่อมา “ที่ปราการเดียวดายส่วนใหญ่มีแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ข้าไม่ค่อยเห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติมากนัก ส่วนยอดฝีมือในขอบเขตสถิตกายานั้นกลับพบเห็นได้ยากกว่า และเกือบสามปีมาแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นยอดฝีมือในขอบเขตสถิตกายามาปรากฏที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว ถ้ารวมกับผู้บ่มเพาะที่มุ่งหน้าไปผจญภัยในป่าเพื่อค้นหาสมบัติล้ำค่าในแต่ละวันแล้ว ทำให้ยังมีห้องว่างอีกเยอะเลยขอรับ”

เมื่อได้ฟังคำพูดยืดยาวของอีกฝ่าย เฉินซีก็เผลอส่ายหน้าไปมา มีอะไรน่าสนใจกว่าการจมอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง ผู้คนที่นี่คงไม่รู้จะทำอะไรกันแล้วจริง ๆ

ดูเหมือนซานหย่งจะเดาความคิดของเฉินซีได้ จึงรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ลูกค้าขอรับ ท่านอาจจะยังไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกบางอย่างเกี่ยวกับห้องต่าง ๆ ในปราการเดียวดาย ตอนที่มีการก่อสร้างที่นี่ช่วงแรก ภายในห้องของแต่ละชั้นจะมีรูปแบบที่ไม่เหมือนกันนะขอรับ”

“อย่างห้องบนชั้นสองจะมีเตียงที่ทำจากหยกซึ่งให้ผลลัพธ์อย่างน่าอัศจรรย์ เนื่องจากมันได้เชื่อมต่อกับแกนกลางของโลกจึงสามารถดึงพลังปราณจากแกนโลกออกมานิดหน่อย ทว่ามันก็เป็นพลังที่ให้ประโยชน์แก่การฝึกบ่มเพาะของคนเราอย่างมหาศาล”

“ส่วนห้องบนชั้นที่สามไม่เพียงสามารถดึงพลังปราณจากแกนโลกได้เท่านั้น แต่ยังมีห้องแยกส่วนตัวใช้ในการกลั่นยาเม็ด ห้องขัดเกลาอาวุธ และห้องที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นอีกมากมายขอรับ”

“ส่วนห้องบนชั้นสี่ก็ไม่ใช่ธรรมดา สันนิษฐานว่าหากผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาบ่มเพาะในห้องนี้ ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากมายซึ่งเทียบได้กับการบ่มเพาะในพื้นที่ซึ่งค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว”

เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเอ่ยถามด้วยความสนใจ “แล้วคนที่สนใจจะเข้าพักในห้องนี้ต้องทำอย่างไร”

เจ้าหนุ่มซานหย่งยิ้มประจบประแจงก่อนตอบ “ความแข็งแกร่งอย่างท่านสามารถขึ้นไปใช้ห้องบนชั้นสองได้ทุกห้องได้เลยขอรับ และเชื่อเถิดว่าถ้ามีพวกที่พลังยังไม่แข็งพอบุกขึ้นไปบนชั้นสอง ส่วนมากจะถูกไล่ออกมาหรือไม่บางครั้งก็ถูกฆ่าตาย ฉะนั้นสถานการณ์เช่นนี้รับรองไม่มีใครกล้าแอบเข้าไปแน่”

ตุ้บ!

เสียงคนพูดยังไม่ทันจบ จู่ ๆ ก็มีร่างของใครคนหนึ่งถูกโยนลงมาจากชั้นสอง เจ้าคนนั้นตกลงมาอย่างแรงจนฟุบอยู่บนพื้น โลหิตเต็มจมูกและใบหน้าช้ำบวมเป่ง ซ้ำยังกระอักเลือดพรวดใหญ่

“ไอ้สวะ! กระจอกงอกง่อยอย่างเจ้ากล้าเสนอหน้าขึ้นมาบนชั้นสองกับพวกเราอยย่างนั้นหรือ คนอย่างเจ้ามันช่างน่าเบื่อจริง ๆ” ด้านหนึ่งของราวบันไดชั้นสอง ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีดำยืนกอดอกมองอย่างเย็นชา พลางคำรามด้วยน้ำเสียงกร้าวเจือดูถูกเหยียดหยาม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]