บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 389

บทที่ 389 แท่นบูชาเต๋าแห่งการต่อสู้

บทที่ 389 แท่นบูชาเต๋าแห่งการต่อสู้

การยึดครองบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ได้สำเร็จ ทำให้เฉินซีรู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ หากไม่มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เขาย่อมเป็นหนึ่งในร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ และเป้าหมายต่อไปของชายหนุ่มก็คือการมุ่งขึ้นสู่สิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง!

โดยไม่เสียเวลาอีกต่อไป เฉินซีพูดคุยกับฟ่านอวิ๋นหลาน เจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะหยิบผลึกโลหิตจ้าววิญญาณสองสามชิ้นออกมาและหลับตาทำสมาธิในทันที

การต่อสู้กับหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ทำให้ปราณจ้าววิญญาณของเขาลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะฝ่ามือมหาดาราที่ใช้ออกไปในตอนท้าย มันได้สูบปราณจ้าววิญญาณไปด้วยอัตราที่น่าตกตะลึง หากไม่ใช่เพราะการขัดเกลากายาของเขาได้บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงแล้วละก็ ชายหนุ่มคงไม่สามารถใช้กระบวนท่านี้ออกไปได้อย่างเต็มที่

แต่นับว่าโชคดีที่เขาได้รับผลึกโลหิตจ้าววิญญาณจำนวนมากมาจากจี้เยว่ ดังนั้นปราณจ้าววิญญาณของเขาจึงสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ไม่ต้องกังวลกับการแข่งและการต่อสู้ที่จะมาถึง

ก่อนที่เขาจะหลับตาเพื่อทำสมาธิ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังเหลือบมองไปยังร่างอันงดงามที่อยู่ตรงกลาง ร่างนั้นนั่งขัดสมาธิมาตั้งแต่ต้นและถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบมาโดยตลอด จนดูเหมือนกับเทพธิดาจากแดนสวรรค์ผู้เป็นอิสระเหนือโลกา และไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นรอบกายนางก็ตาม มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้เลย

มันให้ความรู้สึกที่เย่อหยิ่งและห่างเหินอย่างไร้เสียง ราวกับว่านางยืนอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

เฉินซีถอนสายตากลับมา และหัวใจของเขายังคงปราศจากการกระเพื่อม เนื่องจากชิงซิ่วอี้ไม่เหมือนกับฟ่านอวิ๋นหลาน นางเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิด และนางมีความภาคภูมิใจในความเป็นเซียนฝังลึกอยู่ในกระดูกดำของนาง ดังนั้นจึงมีทางเดียวที่จะแก้ไขความเกลียดชังระหว่างพวกเขาได้ นั่นคือการเอาชนะนางในการต่อสู้และทำให้ความภาคภูมิใจที่สูงส่งของนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมสยบต่อเขา!

เมื่อเฉินซีนั่งบนบัลลังก์เทพ มันก็ยังมีบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้อีกเจ็ดสิบกว่าแห่งที่ยังคงว่างเปล่าอยู่ล้อมรอบแท่นบูชา และเพื่อบัลลังก์เหล่านี้ ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในบริเวณโดยรอบของจัตุรัสได้ระเบิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการครอบครองบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้เหล่านี้อย่างดุเดือด

ผู้บ่มเพาะที่ต่อสู้อยู่ในขณะนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่นจากผู้บ่มเพาะทั้งห้าหมื่นคนที่ได้เข้าร่วมในตอนแรก และพวกเขาได้เอาชนะความยากลำบากมากมายเพื่อมาถึงที่นี่ในที่สุด ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงทรงพลังและน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัย หากอยู่ในโลกภายนอก ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เพียงพอที่จะเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศแล้ว!

เมื่อมาถึงตอนนี้ เพื่อที่จะยึดบัลลังก์เทพที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่ง ผู้คนย่อมสามารถจินตนาการถึงความรุนแรงของการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป บัลลังก์เทพทั้งหนึ่งร้อยแห่งก็มีผู้ครอบครอง ส่วนผู้บ่มเพาะที่พ่ายแพ้ก็ถูกจำกัดทิ้งและถูกส่งตัวออกจากดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้

หลังจากผู้บ่มเพาะคนสุดท้ายที่พ่ายแพ้ได้หายตัวไปจากดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ พื้นที่โดยรอบของจัตุรัสก็เกิดความผันผวนอย่างรุนแรง

ครืนนน!

ท้องฟ้าถล่ม แผ่นดินแยกออกจากกัน สวรรค์และโลกดูจะพังทลาย และหายไปภายในมิติที่ผันผวนอย่างรุนแรง

เพียงชั่วพริบตา นอกจากแท่นบูชาโบราณที่อยู่ตรงกลางและบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้อีกหนึ่งร้อยแห่งแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ก็กลายเป็นความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง

“โอม!”

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ความผันผวนที่แปลกประหลาดได้แผ่ออกมาจากแท่นบูชาที่อยู่ตรงกลาง มันดูเหมือนระลอกคลื่นและได้ปกคลุมบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้นับร้อยแห่งที่อยู่โดยรอบ

ทันทีที่ความผันผวนเคลื่อนผ่านร่างกายของเขา เฉินซีก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงอันเก่าแก่ลึกลับที่ไม่อาจต้านทานได้ เข้ามาห่อหุ้มจิตวิญญาณของเขาไว้ และก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง จิตวิญญาณของเขาก็รู้สึกมึนงงราวกับถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนขนาดมหึมา…

ครืนนน!

บนยอดเขาทะยานสวรรค์ที่ทะลุขึ้นไปในท้องฟ้า จู่ ๆ ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและทรุดลงสู่พื้นดิน แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาจากบริเวณโดยรอบของภูเขา มันส่องแสงเจิดจ้าจนดวงตาของทุกคนไม่อาจรับได้และต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้

“บททดสอบที่สามของการชุมนุมดาวรุ่งสิ้นสุดลงแล้ว!”

“ดูนั่นสิ! สิ่งเหล่านั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศคือบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ในตำนาน และผู้คนที่นั่งอยู่บนนั้นคือผู้บ่มเพาะหนึ่งร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้”

“มันคือบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้! ข้าสงสัยนักว่าพวกเขาจะได้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าแบบใดมาจากพวกมันกัน?”

เมื่อยอดเขาทะยานสวรรค์จมหายไปในพื้นดิน ทุกคนจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็เห็นแท่นบูชาโบราณที่ปรากฏอยู่กลางอากาศ และรอบ ๆ มัน มีบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้นับร้อยแห่งล้อมรอบอยู่และเปล่งแสงพราวระยิบระยับออกมา

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

บนบัลลังก์เทพมีร่างนับร้อยกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยท่าทางเคร่งขรึมเสมือนรูปปั้น และพวกเขาถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งเสียงกังวานอย่างแปลกประหลาด ซึ่งคล้ายกับเสียงระฆังที่ดังขึ้นเมื่อมีการถวายเครื่องบูชาในสมัยโบราณดังก้องออกมาจากแท่นบูชาที่อยู่ตรงกลาง มันเขย่าท้องฟ้าและผืนดินเสมือนระฆังที่ถูกตีในยามเช้า ด้วยท่วงทำนองของมหาเต๋าที่ทำให้ทุกสิ่งได้กระจ่างแจ้ง อีกทั้งยังทำให้หัวใจของทุกคนรู้สึกเงียบสงบขึ้นมา

ในขณะเดียวกัน ผู้บ่มเพาะทั้งหมดในนครหลวงธารสายไหม ต่างก็จ้องมองไปที่ร่างทั้งหนึ่งร้อยร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์เทพอย่างเงียบ ๆ และสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา ความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งความคาดหวัง…

ทุกคนต่างก็รู้ว่า ในช่วงเวลาต่อไปนี้ ผู้บ่มเพาะทั้งหนึ่งร้อยคนกำลังทำความเข้าใจต่อกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สืบทอดมาจากบัลลังก์เทพ แต่คุณภาพของกระบวนยุทธ์ที่ได้สืบทอดมาจากบัลลังก์เทพจะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ โชคชะตา การบ่มเพาะ ความเข้าใจ และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

“ข้าสงสัยนักว่าผู้ใดจะได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ทรงพลังที่สุดในครั้งนี้…?”

เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง เนื่องจากเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าเขาได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับการเคลื่อนคล้อยของดวงดาวในจักรวาล ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณทั้งหมดของเขาดูเหมือนจะเคลื่อนผ่านอุโมงค์กาลเวลาที่แปลกประหลาดและไม่ธรรมดา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้มีดวงดาวนับไม่ถ้วนที่โคจรอย่างรวดเร็ว ราวกับลำแสงที่พุ่งผ่านท้องฟ้าและมันก็เหมือนกับโลกแห่งดาราภายในเคหาที่อยู่ในจี้หยก แต่มันก็แตกต่างจากโลกแห่งดาราในจี้หยกอยู่บ้าง เพราะที่ใจกลางของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้ปรากฏแท่นบูชาที่มีขนาดมหึมาอยู่!

แท่นบูชาแท่นนั้นเก่าแก่และปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งสามารถกระตุ้นความเคารพอย่างสุดขีดในใจผู้คนได้ มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางดวงดาวนับไม่ถ้วน และมันก็มีขนาดมหึมาจนสามารถปกคลุมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวได้ เมื่อดวงดาวจำนวนมากเคลื่อนวิถีอยู่โดยรอบของแท่นบูชา มันก็เป็นดั่งมวลหิ่งห้อยตัวน้อยที่มีขนาดเล็กจนเหมือนกับเมล็ดพืชในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

ขนาดที่ยิ่งใหญ่ งดงาม และน่าเกรงขามนั้นเหมือนกับปาฏิหารย์ที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งไว้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของโลก และทำให้หัวใจของทุกคนต้องสั่นสะท้าน!

“นี่คือแท่นบูชาเต๋าแห่งการต่อสู้หรือ? ว่ากันว่ามันมีกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าอยู่นับไม่ถ้วน มันได้รวบรวมความลึกล้ำของเต๋าแห่งสวรรค์ที่หลากหลาย ไม่มีที่สิ้นสุด และกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร ข้าอยากรู้นักว่าตำนานจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่…?” เฉินซีจ้องมองไปที่แท่นบูชาโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวและเปล่งรัศมีอันชั่วนิรันดร์ออกมา และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจของเขา

ด้วยความตั้งใจที่มี ร่างของเขาได้กลายเป็นลำแสงและพุ่งเข้าสู่แท่นบูชาในทันที

ก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง เขาพอจะได้ทราบเกี่ยวกับแท่นบูชาเต๋าแห่งการต่อสู้มาบ้าง ต้นกำเนิดของแท่นบูชานั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ และมันก็เหมือนกับปาฏิหารย์อันเป็นนิรันดร์ที่เทพเจ้าเหลือทิ้งไว้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

สิ่งที่สำคัญคือเมื่อจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งได้เชื่อมโยงกับแท่นบูชาแล้ว คนผู้นั้นจะได้รับมรดกวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าจากมัน!

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ทันทีที่เข้าสู่แท่นบูชา ราวกับเขาได้เข้าสู่โลกแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ แสงหนาทึบที่พร่างพราวและเจิดจ้าถูกเปล่งออกมาจากดวงแสงที่มีขนาดเท่ากำปั้นนับไม่ถ้วนที่เคลื่อนคล้อยและส่งเสียงหวีดหวิวไปมาในโลกอันไร้ขอบเขตที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่

เฉินซียื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับ และเขาก็ถือดวงแสงไว้ในมือทันที หลังจากนั้น ดวงแสงในมือของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและกลายเป็นแผ่นหยกสีทองเข้ม ซึ่งรอบ ๆ ของแผ่นหยกสีทองก็มีถ้อยคำภาษาโบราณที่ปกคลุมไปด้วยเต๋ารู้แจ้ง

กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า ‘กระบี่สนธยารุ้งทองคำ’

เฉินซีเพียงแค่ชำเลืองมองกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าวิชานี้ก่อนที่จะปล่อยมันไป เหตุผลนั้นก็ธรรมดามาก เนื่องจากมันเป็นเพียงสองเต๋ารอง ซึ่งคือเต๋าเมฆาจรัสและเต๋ารู้แจ้งแห่งสายรุ้งทองคำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาเต๋าแห่งวารีและเต๋ารู้แจ้งแห่งหมอก พวกมันจึงห่างไกลกับการสร้างความหวั่นไหวให้แก่เขาได้

ต่อจากนั้น เฉินซีได้คว้าดวงแสงอีกนับสิบดวง แต่เคล็ดวิชาที่น่าเกรงขามที่สุดในหมู่พวกมันกลับมีเพียงมหาเต๋าสองชนิดเท่านั้น และนั่นทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง

“มีกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าอยู่นับไม่ถ้วนในแท่นบูชานี้ หากข้ายังค้นหาเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไรก็ตาม ข้าเกรงว่าจะไม่อาจได้รับเคล็ดวิชาที่ทำให้ข้าพึงพอใจได้ แล้วเหตุใดข้าถึงไม่ไปที่ภายในแท่นบูชาเสียเลยล่ะ? บางทีเคล็ดวิชาที่น่าเกรงขามอาจซ่อนอยู่ภายในบริเวณศูนย์กลาง…” หลังจากที่เขาครุ่นคิด เฉินซีก็พุ่งไปยังพื้นที่ใจกลางของแท่นบูชาทันที แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องพูดไม่ออกก็คือพื้นที่ภายในแท่นบูชานี้กว้างขวางเกินไป และเขาได้บินมาเกือบหนึ่งชั่วยามเต็มแล้ว ทว่าก็ยังไม่รู้ว่าศูนย์กลางของมันอยู่ที่ใดกันแน่

แต่เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ มันก็ถือได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติ หากกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่น่าเกรงขามจะหาได้ง่ายดายขนาดนั้น บางทีพวกมันอาจถูกผู้อื่นยึดไปตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว และเขาจะมีโอกาสได้อย่างไร?

“หืม? แรงกดดันนี้มัน?” ขณะที่เฉินซีกำลังทะยานไปข้างหน้า จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันไร้รูปร่างได้กดทับลงมาที่ตน ซึ่งดูเหมือนว่ามันกำลังยับยั้งการทะยานของเขาอยู่ ทำให้ความเร็วของชายหนุ่มช้าลงอย่างมาก

“หรือว่ายิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางของแท่นบูชามากขึ้นเท่าไร แรงกดดันก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น? ถ้าเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ทรงพลังอาจมีอยู่จริงเหมือนที่ข้าคิด!” เฉินซีไม่ได้ตกตะลึง แต่กลับดีใจแทน จากนั้นก็ไม่ลังเลที่จะโคจรพลังในร่างกายของเขาทั้งหมด แล้วจึงพุ่งไปข้างหน้าต่อไป

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฝีเท้าของเขาก็เริ่มเฉื่อยชา เช่นเดียวกับความเร็วที่ช้าลงเรื่อย ๆ แรงกดดันและแรงยับยั้งที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้เฉินซีดูเหมือนตกลงไปในหนองน้ำ และเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“โอม!”

แต่เมื่อเฉินซีตั้งใจจะกัดฟันและก้าวเดินต่อไปด้วยพลังทั้งหมด คลื่นความผันผวนลึกลับก็พุ่งออกมาภายในจิตสำนึกของเขาและแผ่กระจายออกไป ทุกที่ที่มันผ่านไป แรงกดดันและแรงยับยั้งก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง!

“ชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากหรือ?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นทันทีว่า ชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากที่ลอยอยู่ในห้วงสำนึกของเขากำลังสั่นไหวเบา ๆ ราวกับว่ามันมีสติปัญญาอยู่ในขณะนี้!

แผนภาพวารีหลากที่ไม่สมบูรณ์และมีรูปร่างเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเกิดจากการรวมกันของชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากสองชิ้น ชิ้นหนึ่งมาจากภูเขากำราบธาตุที่อยู่ภายในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ และอีกชิ้นได้รับมาจากศิษย์พี่หญิงผู้ลึกลับที่ชอบแต่งตัวเป็นบุรุษ

และบริเวณโดยรอบของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในขณะนี้ ก็มีเงาภาพมายาลอยอยู่ ซึ่งพวกมันถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดชิ้นที่มีรูปร่างแปลกประหลาด และเมื่อรวมกับชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากที่มีอยู่ มันก็จะได้รูปร่างที่แท้จริงของแผนภาพวารีหลากที่เป็นทรงกลมออกมา

เขาได้คาดการณ์มาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่า แผนภาพวารีหลากที่สมบูรณ์อาจแยกออกเป็นเก้าส่วนด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งเขาได้ชิ้นส่วนมาสองชิ้นแล้ว และยังมีอีกเจ็ดชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่ในที่อื่น ๆ ของจักรวาล

แต่แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญนั้นคือในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้เห็นชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากปลดปล่อยคลื่นความผันผวนลึกลับ อีกทั้งยังสั่นสะท้านและส่งเสียงแปลก ๆ ออกมา!

“เกิดอะไรขึ้น?”

“หรือว่าชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากมีความสัมพันธ์บางอย่างกับแท่นบูชาโบราณนี้?”

ในขณะที่เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า ชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลากที่อยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของเขากำลังส่งเสียงดังพึมพำขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันกระตือรือร้นที่จะมุ่งไปข้างหน้า เพื่อไปยังสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง!

เฉินซีจึงพุ่งไปข้างหน้าทันทีและสัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่า หากเขาทะยานไปตาม ‘ทิศทาง’ ของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก บางทีเขาอาจจะพบกับโชคครั้งใหญ่ก็เป็นได้!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]