บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 518

บทที่ 518 พลังของเซียนปฐพี

บทที่ 518 พลังของเซียนปฐพี

เสียงอันน่าสังเวชของซางเชวี่ยยังคงดังก้องอยู่ในอากาศและมันเสียดหูเป็นอย่างมาก

“อันใดนะ!? พวกเขาตายหมดแล้ว!?” ชายชราในชุดสีเทาที่มีนามว่าหลิงหยาหันกลับมาและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับพระอาทิตย์ที่ปะทุแสงที่เจิดจ้าอย่างสุดขีด ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึงจนร่างกายสั่นสะท้าน

สีหน้าของบรรพบุรุษหลิงหยาพลันซีดเซียว ในขณะที่กลิ่นอายของเขาก็รุนแรงดุจสัตว์ร้ายและน่าสะพรึงกลัว เพียงชั่วพริบตาต่อมา นัยน์ตาเหยี่ยวคู่นั้นก็ปะทุสายฟ้าอันเย็นเยียบ พร้อมกับพุ่งเข้าหาเฉินซีและคนอื่น ๆ ดุจกระบี่ที่แหลมคม

ทันใดนั้น เฉินซี ชิงซิ่วอี้ และเจิ้นหลิวชิงก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวและมันกดดันเสียจนรู้สึกเหมือนเลือดลมถูกแช่แข็ง

พวกเขารู้สึกเหมือนกับมดที่คืบคลานอยู่บนพื้นดินกำลังเผชิญหน้ากับเหยี่ยวที่โผบินอยู่บนท้องฟ้า นั่นคือพวกตนอ่อนแอและไร้ซึ่งพลังที่จะต่อต้านขัดขืน

แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่แน่ใจว่าบรรพบุรุษหลิงหยาคนนี้มีขอบเขตเซียนปฐพีอยู่ในขั้นใด แต่พลังที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นก็ทำให้เฉินซีตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก

ถึงแม้จะใช้ความสามารถทั้งหมดเท่าที่มี แต่เฉินซีก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับชายชราคนนี้ได้ และเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะได้รับชัยชนะเมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลดังกล่าว

เนื่องจากคนหนึ่งเป็นเพียงผู้บ่มเพาะ ส่วนอีกคนคือเซียน!

ถึงแม้จะเป็นเพียงเซียนปฐพี แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นเซียนอยู่วันยันค่ำ การบ่มเพาะและขอบเขตของเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเฉินซีโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพลังที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ฟ้าดินถึงขั้นสั่นสะเทือน ดังนั้นใคร ๆ ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างผู้เป็นเซียนปฐพีกับผู้บ่มเพาะได้อย่างชัดเจน

นี่คือความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ผู้ครอบครองพลังที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแห่งการบ่มเพาะได้อย่างภาคภูมิและสามารถเย้ยหยันโลกาด้วยพลังที่ท่วมท้น

แม้ว่าครั้งหนึ่ง เฉินซีจะเคยพบเจอผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีมามากมาย แต่เขาก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น ดังนั้นการถูกบรรพบุรุษหลิงหยาจ้องมองอย่างเย็นชาในขณะนี้ทำให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นความห่างชั้นระหว่างตนเองกับเซียนปฐพีได้อย่างชัดเจน ราวฟ้ากับเหวและเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ

“ก็แค่เด็กน้อยขอบเขตจุติขั้นต้นกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สองคนที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตจุติระดับสี่ พวกมันจะเข่นฆ่าพวกเจ้าตั้งมากมายได้อย่างไร? เจ้าคงไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่?!” หลิงหยากล่าวอย่างเย็นชาและมองไปยังซางเชวี่ยที่อยู่ใกล้เคียง

“ท่านบรรพบุรุษ! ทุกคำที่ข้ากล่าวนั้นคือความจริง ข้าไม่กล้าหลอกลวงท่านอย่างแน่นอน ถึงแม้เฉินซีจะมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตจุติขั้นต้น แต่มันกลับสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติและมีพลังแฝงที่จะกลายเป็นสุดยอดฝีมือ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นอันดับที่หนึ่งจากการทดสอบพลังของศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามด้วยขอรับ”

การจ้องมองของชายชราทำให้ซางเชวี่ยสั่นสะท้านและรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของเขากำลังจะหลุดออกจากร่าง ดังนั้นเจ้าตัวจึงรีบอธิบาย “นอกจากนี้ หญิงสาวหนึ่งในสองคนนั้นก็เป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด ซึ่งเชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งแสงสว่าง ในขณะที่อีกคนหนึ่งครอบครองร่างวิญญาณวารีบรรพกาลและเชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งความมืด พวกนางจึงสามารถผสานเป็นมหาเต๋าไท่จี๋ได้!”

บรรพบุรุษหลิงหยาตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็พลันส่องประกาย จากนั้นจึงหันไปมองเฉินซีและคนอื่น ๆ อีกครั้ง สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันและเปล่งประกายด้วยแสงประหลาด ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่าไม่มีความลับใดที่สามารถหลบหนีจากสายตาที่ปราดเปรื่องของคนคนนี้ได้

แม้แต่ชายหนุ่มรูปงามผมขาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง ก็ยังจ้องมองทั้งสามคนด้วยความสนใจ โดยเฉพาะยามมองไปที่ชิงซิ่วอี้ ดวงตาของเขาก็ฉายประกายแสงแปลกประหลาดและยากจะเห็นได้ชัด

ทว่าสิ่งที่เฉินซีกับคนอื่น ๆ รู้สึกนั้นกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อถูกจ้องมองโดยเซียนปฐพีทั้งสองคน แรงกดดันอันบีบคั้นก็เป็นเหมือนกับภูเขาลูกมหึมาที่กดทับหัวใจของพวกเขา และทำให้สีหน้าของคนทั้งสามหนักอึ้งเป็นอย่างมาก

เมื่อผู้คนที่อยู่ไกลออกไปเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อน และต่างก็รู้สึกว่าชายหนุ่มและคนอื่น ๆ นั้นโชคร้ายเกินไป ทั้งที่เพิ่งจะรอดพ้นจากอันตราย แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับทูตของแดนภวังค์ทมิฬ และยังมีบรรพบุรุษของตระกูลซางอีกด้วย ดังนั้นทั้งสามคนนี้คงจะหลีกหนีจากหายนะในครั้งนี้ได้ยาก

ถึงแม้ว่าในอดีต จะแทบไม่มีเหตุการณ์ที่ทูตลงมือสังหารเหล่าศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ ในสมรภูมิบรรพกาลมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น

…ถึงแม้จะไม่ค่อยมีตัวอย่างการสังหารที่ว่าภายในสมรภูมิบรรพกาลก็จรริง แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น!!!

โดยเฉพาะเมื่อตระกูลซางเกือบถูกล้างบางจนหมด เมื่อประสบกับฉากที่น่าสลดใจเช่นนี้ จึงรับประกันได้ยากว่าบรรพบุรุษหลิงหยาจะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและไม่เปิดฉากโจมตี

ใบหน้าที่ซูบตอบของบรรพบุรุษหลิงหยานั้นซีดเซียว เพราะเขาเชื่อในคำพูดของซางเชวี่ย มันจึงทำให้เจตนาฆ่าในใจเดือดพล่านยิ่งขึ้น และทำให้เจ้าตัวไม่สามารถระงับความโกรธได้

เขามาจากหอกระบี่สยบดวงใจ ซึ่งเป็นกองกำลังอันยิ่งใหญ่ภายในแดนภวังค์ทมิฬ และเป็นตัวแทนของนิกายเพื่อคัดเลือกศิษย์ในสมรภูมิบรรพกาล

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นคนของตระกูลซาง เมื่อพันปีก่อนเขาได้เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลเพื่อหาประสบการณ์ และโชคดีที่ได้รับเลือกจากหอกระบี่สยบดวงใจของแดนภวังค์ทมิฬ รวมทั้งยังสามารถบรรลุความสำเร็จเช่นนี้ได้ ซึ่งชายชราก็ไม่เคยลืมตัวตนว่าเคยเป็นคนของตระกูลซาง!

เนื่องจากเขาได้รับโอกาสให้เป็นทูตและได้มาเยือนสมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ จึงหวังจะรับศิษย์จากตระกูลของตนทั้งหมดให้เข้าร่วมกับหอกระบี่สยบดวงใจ เพื่อให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ดีที่สุดภายใต้การคุ้มครองของตัวเอง

แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่านอกจากซางเชวี่ยแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ จะถูกกวาดล้างจนสิ้น!

เมื่อเผชิญกับฉากนองเลือดอันโหดร้ายนี้ ผู้ใดก็สามารถจินตนาการถึงความโกรธในใจของหลิงหยาได้

ฆ่า!

ข้าต้องฆ่าไอ้สารเลวทั้งสามคนนี้!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]