บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 521

บทที่ 521 ประทับโลหิต

บทที่ 521 ประทับโลหิต

ทูตของแดนภวังค์ทมิฬมาถึง และประกาศว่าการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้

ข่าวนี้ทำให้ทั่วทั้งเมืองปั่นป่วน บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาทันใด

ศิษย์ของกองกำลังต่าง ๆ ที่เข้ามาในเมืองบรรพกาลเลือกที่จะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ พวกเขาต่างทุ่มเทบ่มเพาะอย่างหนักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบครั้งสุดท้าย

ณ ตอนกลางของพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ

ที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าป่าที่ขึ้นรกและมีเพียงแผ่นศิลาแผ่นเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น แผ่นศิลานี้สูงหกฉื่อ กว้างราวสองฉื่อ พื้นผิวมีรอยด่างและหม่นคล้ำ มันปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำสีน้ำตาลเข้มและตะไคร่น้ำสีเขียว นอกจากนี้ยังแผ่กลิ่นอายโบราณและเก่าแก่ออกมา

“นี่คือศิลาสัตย์สัประยุทธ์ที่ถูกทิ้งมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อต่อต้านศัตรูของพวกเขา เหล่าทวยเทพได้ฝังสมบัติมากมายไว้ในอาณาเขตทั้งแปดของเมืองบรรพกาล และทุก ๆ ชิ้นก็ทรงพลังยิ่งกว่าสมบัติอมตะ”

“เมื่อใดก็ตามที่การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลมาถึง หนึ่งในสมบัติเหล่านี้จะผุดขึ้นมาจากผืนดินของอาณาเขตทั้งแปดแห่ง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้มีสิทธิ์ได้รับสมบัติจะต้องเป็นเจ้าของอาณาเขตเหล่านี้เท่านั้น”

“และช่องทางที่จะได้รับสมบัติที่ว่าก็คือศิลาสัตย์สัประยุทธ์นี้” อวิ๋นหลานเซิงมีท่าทางที่ไม่ธรรมดา ผมสีขาวปล่อยสยายราวกับหิมะ ในขณะที่เขาชี้ไปยังแผ่นศิลาที่อยู่ตรงหน้า และกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“นี่คือสถานที่ที่เหล่าทวยเทพสาบานว่าจะทำสงครามหรือ?” เฉินซีที่อยู่ใกล้เคียงจ้องมองไปที่แผ่นศิลาและสังเกตเห็นถ้อยคำว่า ‘สัตย์สัประยุทธ์’ อยู่บนพื้นผิวของแผ่นศิลาได้อย่างชัดเจน มันถูกเขียนด้วยลายเส้นที่แข็งแรงและมีรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายกดดันออกมา

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือสีของถ้อยคำ ซึ่งถูกเขียนด้วยเลือดและจารึกลงบนแผ่นศิลา ทำให้กลิ่นอายของการต่อสู้และการเข่นฆ่าอันนองเลือดพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของพวกเขา

ในขณะนี้ เฉินซีรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพ ที่เบื้องหน้าล้วนเรียงรายไปด้วยโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน ธารเลือดและภูเขาซากศพ เสียงการต่อสู้นับล้านที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดินราวกับเสียงฟ้าร้องที่โหมกระหน่ำลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า ทำให้เจ้าตัวรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกและเปียกโชกไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ

“ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”

ถึงแม้จะผ่านการกัดกร่อนมาอย่างยาวนานจนนับไม่ถ้วน แต่ถ้อยคำบนแผ่นศิลานี้ดูเหมือนจะเพิ่งถูกจารึกไว้ และแฝงไปด้วยกลิ่นอายของการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวจนแทบหยุดหายใจ

“ระวัง เจ้าไม่ควรตรวจสอบศิลาสัตย์สัประยุทธ์ด้วยจิตสัมผัสเทพ มิฉะนั้น เจ้าจะถูกทำลายโดยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพที่อยู่ภายใน ซึ่งแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่อาจรอดชีวิต” อวิ๋นหลานเซิงกล่าวเตือนจากด้านข้างด้วยสีหน้าจริงจัง

ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่สีหน้าของเฉินซีที่ซีดเผือด แม้แต่หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ก็หน้าซีดเช่นกัน อีกทั้งยังมีร่องรอยความหวาดกลัวในดวงตาของพวกเขาขณะที่จ้องมองไปยังศิลาสัตย์สัประยุทธ์

“ในเมื่อสมบัติของเหล่าทวยเทพถูกฝังไว้ใต้ศิลาสัตย์สัประยุทธ์ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงไม่กลัวว่าคนอื่นจะมาขุดเอาสมบัติไป?” นายน้อยโจวอดไม่ได้ที่จะถาม

“ขุดเอาพวกมันออกไป?” อวิ๋นหลานเซิงหัวเราะเบา ๆ และส่ายศีรษะขณะกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ ด้วยการดำรงอยู่ของศิลาสัตย์สัประยุทธ์ แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ไม่อาจแย่งชิงสมบัติของเหล่าทวยเทพไปได้”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาพลันทอประกายด้วยความทรงจำ ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “เพราะท้ายที่สุดแล้ว เหล่าทวยเทพในยุคบรรพกาลล้วนเป็นตัวตนที่มีอำนาจสูงสุดและสามารถสั่นสะเทือนทั้งสามภพได้อย่างง่ายดาย สมบัติที่พวกเขาทิ้งไว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิบรรพกาลตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว หากไม่เป็นเช่นนั้น สมบัติเหล่านี้คงถูกพรากไป และพวกมันจะสามารถดำรงอยู่มาอย่างยาวนานจวบจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร?”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “สมบัติที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ไม่อาจพรากมันไปได้ แล้วเหล่าทวยเทพในยุคบรรพกาลจะทรงพลังเพียงใด?”

“ทว่ามันก็มีข้อยกเว้นอยู่ สมรภูมิบรรพกาลแห่งนี้จะเกิดเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวในทุก ๆ หนึ่งร้อยปี เมื่อถึงเวลานั้น สมบัติแห่งทวยเทพหนึ่งชิ้นจะปรากฏขึ้นภายในอาณาเขตทั้งแปดของเมืองบรรพกาล จากนั้นมันจะเลือกเจ้าของอาณาเขตที่ปกป้องเมืองบรรพกาลจากการถูกทำลาย และสำหรับพวกเจ้าทุกคน วันที่เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวได้บังเกิดขึ้นคือวันที่การทดสอบขั้นสุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น”

อวิ๋นหลานเซิงกล่าวช้า ๆ “พวกเราที่เป็นทูตจากแดนภวังค์ทมิฬ มาเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าทุกคนในการได้รับสมบัติแห่งทวยเทพ ผ่านการทดสอบ และเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ”

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เฉพาะผู้ผ่านการทดสอบเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้ แล้วคนที่ไม่ผ่านการทดสอบเล่า?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม

อวิ๋นหลานเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพ่นคำออกมาเบา ๆ “ตาย”

ทุกคนตกใจทันทีทันใด “ตายหรือ? พวกเขาเสียชีวิตจากการแข่งขันกับผู้อื่นหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน?”

“แต่การทดสอบครั้งนี้พิเศษกว่าเล็กน้อย ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น…” เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ อวิ๋นหลานเซิงครุ่นคิดสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร พวกเจ้าทุกคนจะเข้าใจหลังจากการทดสอบเริ่มต้นขึ้น แต่ข้าสามารถบอกได้แค่ว่าจำนวนผู้บ่มเพาะที่สามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬในครั้งนี้จะมากกว่าปีที่ผ่านมา”

“เพราะเหตุใดหรือผู้อาวุโส? ท่านช่วยเปิดเผยข้อมูลให้กับพวกเราอีกสักนิด เพื่อที่พวกเราจะได้เตรียมพร้อมได้หรือไม่?” นายน้อยโจวเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

อวิ๋นหลานเซิงลังเลเล็กน้อย “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรจะรู้ ถึงแม้มันจะไม่สร้างความแตกต่างเมื่อพวกเจ้าล่วงรู้ แต่มันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเจ้าเป็นแน่”

แม้ว่าจะเตรียมใจมาตั้งแต่ต้น แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินคำตอบนี้

“ฮึ่ม! มีอะไรที่กล่าวไม่ได้ ไม่ใช่เพราะกลียุคของทั้งสามภพอยู่ใกล้แค่เอื้อมและแดนภวังค์ทมิฬยังไม่สงบสุขในตอนนี้? ทุกคนในโลกแห่งการบ่มเพาะจึงรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นพวกเขาจึงผ่อนปรนกฎระเบียบและเริ่มรับศิษย์เป็นจำนวนมาก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองกำลังของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง” ในขณะนั้น วิปลาสหลิ่วก็ปรากฏตัวขึ้น เขากำลังกัดเนื้อและดื่มสุราในขณะที่พึมพำด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ คนหนุ่มสาวแทบทั้งหมดในเมืองนี้อาจจะถูกกำจัดในการทดสอบที่กำลังจะมาถึงเหมือนในอดีต!”

“กลียุคของทั้งสามภพ เหล่ากองกำลังต่าง ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬรู้สึกไม่ปลอดภัย!?”

เฉินซีและคนอื่น ๆ รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจทันที พวกเขาต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำตอบจะน่าสะพรึงกลัวและเกี่ยวข้องกับกลียุคของทั้งสามภพจริง ๆ!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]