บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 553

บทที่ 553 ข้อพิพาทสำหรับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุด

บทที่ 553 ข้อพิพาทสำหรับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุด

ณ ยอดเขาสัประยุทธ์ ด้านหน้าห้องโถงขนาดใหญ่และเก่าแก่

เพราะคำพูดของวิปลาสหลิ่ว จึงทำให้บรรยากาศของที่นี่ตกอยู่ในความเงียบงันอย่างฉับพลัน

ภายในแดนภวังค์ทมิฬอันกว้างใหญ่หรือสุดยอดนิกายแห่งอื่น เช่น นิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบล้วนมีผู้ละทิ้งสวรรค์สังกัดอยู่

ผู้ละทิ้งสวรรค์เหล่านี้ได้พิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าเมื่อนานมาแล้ว และสามารถขึ้นสู่ภพเซียนเพื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์ได้ ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาจึงไม่ต้องการที่จะเป็นเซียนสวรรค์ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงได้ใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อปกปิดร่างเซียนและซ่อนตัวอยู่ในภพมนุษย์

แต่การกระทำเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียม ประการแรก อายุขัยของพวกเขาจะค่อย ๆ โรยราไปตามกาลเวลา เพราะพวกเขาไม่สามารถดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้ และประการที่สอง การบ่มเพาะของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าเท่านั้น ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของเซียนสวรรค์ได้

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อตัวตนในฐานะผู้ละทิ้งสวรรค์ถูกเปิดเผยและถูกความลับของสวรรค์ค้นพบ พวกเขาจะถูกบังคับให้เข้าสู่ภพเซียนโดยไม่มีโอกาสได้หวนคืนสู่ภพมนุษย์อีกเลย

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกลงทัณฑ์อีกเช่นกัน!

“เหตุใดสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น? หรือว่าเจ้าได้ต่อสู้กับเซียนสวรรค์มา?” ประมุขนิกายขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาส่องประกายแสงเยียบเย็น เพราะเท่าที่ทราบมา ด้วยความแข็งแกร่งของวิปลาสหลิ่ว เว้นแต่ว่าจะเป็นเซียนสวรรค์ มิฉะนั้นก็จะไม่มีผู้ใดสามารถบีบบังคับให้เขาต้องเผยตัวตนในฐานะผู้ละทิ้งสวรรค์ได้

“ประมาณนั้น” วิปลาสหลิ่วกล่าวอย่างเฉยเมย

“ในบรรดาทูตของแดนภวังค์ทมิฬที่สืบเชื้อสายมาจากสมรภูมิบรรพกาล มีเพียงปิงซื่อเทียนเท่านั้นที่เป็นเซียนสวรรค์ ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว ท่านคงไม่…” ผู้อาวุโสอดไม่ได้ที่จะถาม

“ถูกต้อง” ชายชราหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ไอ้สารเลวนั่นทำให้ศิษย์ของข้าต้องอับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วข้าจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีประกาศิตภพเซียนอยู่ในมือ ข้าคงสังหารมันไปนานแล้ว!”

ฟู่!

ทุกคนล้วนอ้าปากค้างและถอนหายใจออกมา แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วมีนิสัยที่ดื้อด้านมาก แต่พวกเขาก็ยังต้องตกใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตนเองได้เผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียน

ปิงซื่อเทียนคือใครน่ะหรือ??

เขาคืออัจฉริยะที่โดดเด่นและเจิดจรัสที่สุดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ในรอบหนึ่งพันปี เป็นเซียนสวรรค์ที่แท้จริงซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนภวังค์ทมิฬ และข่าวที่เขาได้ลงมายังสมรภูมิบรรพกาลของภพมนุษย์ในครั้งนี้ ก็ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ

หากข่าวที่ว่าวิปลาสหลิ่วได้เผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียนนั้นแผร่กระจายออกไป มันก็จะก่อให้เกิดความโกลาหลอย่างมากอย่างแน่นอน

“ช้าก่อน หากปิงซื่อเทียนมีประกาศิตภพเซียนอยู่ในมือ ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วคงถูกบังคับให้เข้าสู่ภพเซียนไปตั้งนานแล้ว หรือว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นในเวลานั้น” ประมุขนิกายเวินหัวถิงไตร่ตรองอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะโพล่งออกมา

“ถูกต้อง มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับไอ้สารเลวปิงซื่อเทียน…” วิปลาสหลิ่วไม่ได้ปิดบังอะไรและเล่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น

เขากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างสบายอารมณ์ แต่เมื่อมันลอดผ่านหูของคนอื่น มันก็เหมือนกับเสียงของฟ้าร้อง ซึ่งสั่นคลอนพวกเขาจนสีหน้าถึงกับเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกว่าเหลือเชื่อ

มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ หวงเหมยเวิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก ฉผัสสะแห่งวัดป่าธยานะ ฟางจ่านเหมยแห่งนิกายอสูรสวรรค์แรกกำเนิด …ทุกชื่อเหล่านี้ดูจะมีมนต์สะกดอันน่าหวาดกลัว ซึ่งครั้งหนึ่งตัวตนเหล่านี้เคยอาละวาดไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬและเหลือเพียงตำนานสะท้านฟ้าสะเทือนดินอันเป็นนิรันดร์เอาไว้

ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแสนนาน แต่ในตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นในสมรภูมิบรรพกาลคนแล้วคนเล่า เพียงเพื่อคัดเลือกและรับศิษย์ที่มีโชคชะตาร่วมกันกับพวกเขา สิ่งนี้จะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร?

“ราชวงศ์ซ่งช่างโชคดีจริง ๆ ศิษย์ของพวกเขาถูกเลือกอย่างมากมาย” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถอนหายใจที่มากด้วยความรู้สึก อันเนื่องมาจากโชคชะตาอันยอดเยี่ยมของราชวงศ์ซ่ง

“ชายหนุ่มที่ชื่อเฉินซีนั้น กลับมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชิงซิ่วอี้ในชาตินี้ นี่…มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจ และในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดปิงซื่อเทียนถึงต้องการสร้างปัญหาให้เฉินซี

“เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ได้เปิดเผยตัวทีละคน แม้แต่สาวกของนิกายพุทธก็อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหว ดูเหมือนกลียุคของทั้งสามภพกำลังใกล้เข้ามาแล้วจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าจะมีสักกี่ชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากหายนะครั้งนี้…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตระหนักได้ถึงร่องรอยของบางอย่างที่แตกต่างออกไป และอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล

ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นที่ยังคงนิ่งเงียบก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป และดูเหมือนพวกเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดอย่างลึกซึ้ง ข้อมูลที่วิปลาสหลิ่วเปิดเผยนั้นน่าตกตะลึงอย่างแท้จริงและพวกเขาต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองพอสมควร

“ยังอีกนานกว่ากลียุคของทั้งสามภพจะมาถึง ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ” เวินหัวถิงกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นเขาก็โพล่งขึ้นว่า “เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า วีรบุรุษมักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทุกครั้งที่เกิดกลียุค จะมีโชคลาภมากมายนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาเช่นเดียวกัน และสำหรับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่สวรรค์ได้ประทานให้เช่นกัน”

ขณะที่กล่าวจบ ดวงตาของเวินหัวถิงก็เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกซึ้ง และเขาก็เผยท่าทางที่หยิ่งผยองราวกับครอบครองอาญาสิทธิ์ที่สามารถปกครองโลกได้ออกมา

ทุกคนหายจากอาการตกใจ และพวกเขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเห็นด้วยกับมุมมองของเวินหัวถิง

การมาถึงของกลียุคเป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะเปลี่ยนแปลง! ในเวลานั้น ภพทั้งสามจะปรากฏเหล่าราชาที่ผงาดขึ้นมาเพื่อยึดอำนาจ ส่วนเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ก็จะต่อสู้เพื่อชิงอำนาจอันสูงสุด และระเบียบเก่าจะต้องถูกทำลายเพื่อสร้างโลกใหม่อย่างแน่นอน!

ดังนั้นผู้ที่สามารถอยู่เหนือความวุ่นวายครั้งนี้และสามารถหัวเราะได้ถึงตอนท้าย ก็จะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เลือดอันร้อนระอุและความทะเยอทะยานที่นิ่งเงียบมาเนิ่นนาน จู่ ๆ ก็พลุ่งพล่านไปทั่วหัวใจของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความภาคภูมิใจอันสูงส่งและความทะเยอทะยานอย่างเต็มเปี่ยม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]