บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 601

บทที่ 601 รับภารกิจ

บทที่ 601 รับภารกิจ

แผ่นหยกที่ไป๋กังนำมาให้คือแผ่นหยกกระแสจิต ทันทีที่เปิดใช้งาน เสียงที่อ่อนโยนและชัดเจนก็ดังขึ้น ทำให้เฉินซีสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน เพราะนั่นคือเสียงของไป๋หว่านฉิง

“เฉินซี เมื่อเจ้าได้รับแผ่นหยกนี้แล้ว ย่อมหมายความว่าเจ้าได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬแล้วอย่างแน่นอน เดิมทีข้าตั้งใจจะไปพบกับเจ้า แต่น่าเสียดายเนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดูเหมือนชะตาของเราจะลิขิตให้ไม่ได้พบกัน ดังนั้นเราคงไม่สามารถพบกันได้ในตอนนี้…”

“แต่เจ้าอย่าได้กังวล ตัวข้านั้นสุขสบายดี และจะกลับไปพบเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็ภายในสามปีหรืออย่างช้าที่สุดก็ห้าปี ในช่วงเวลานี้ เจ้าควรบ่มเพาะได้อย่างสบายใจ ข้าสบายใจมากที่ผู้อาวุโสหลิ่วเจี้ยนเหิงได้ดูแลเจ้า”

“แต่โปรดจำเอาไว้ว่า แดนภวังค์ทมิฬนั้นแตกต่างจากราชวงศ์ซ่ง มันมีนิกายมากมายเหมือนต้นไม้ในป่าใหญ่และยังกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต เนื่องจากเจ้ามาที่แดนภวังค์ทมิฬเพียงลำพัง เจ้าจึงต้องระมัดระวังตัวและอย่าผลีผลามไปเสี่ยงอันตราย”

“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับที่อยู่ของบุพการีเจ้า แต่ทั้งหมดที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ตอนนี้ก็คือ บิดาของเจ้า เฉินหลิงจวินยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี ในขณะที่มารดาของเจ้า จั่วชิวเสวี่ยก็สบายดีเช่นกัน…”

น้ำเสียงปรากฏความกดดันเล็กน้อยและดูเหมือนว่าจะบันทึกไว้อย่างเร่งรีบ จากนั้นเสียงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาไม่กี่อึดใจ และแผ่นหยกนี้ก็ได้แตกสลายเป็นผุยผงทันทีเช่นกัน

เฉินซีถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว วิปลาสหลิ่วนั้นชื่อว่าหลิ่วเจี้ยนเหิง

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าบิดาของเขานั้นมีชื่อว่าเฉินหลิงจวิน!

ถึงแม้คนอื่นอาจจะคิดว่ามันไร้สาระมาก แต่มันคือความจริง เพราะตั้งแต่เฉินซียังเด็ก ท่านปู่ของเขาไม่เคยเอ่ยชื่อบิดาของเขาเลย และทุกครั้งที่ถาม สีหน้าของอีกฝ่ายจะมืดมนลงทันที ก่อนที่จะลุกเป็นไฟและดุด่าเขาอย่างดุเดือด

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชื่อบิดาของเฉินซีนั้นเป็นเหมือนกับสิ่งต้องห้ามในช่วงตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้และเขาไม่เคยกล้าถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

ดังนั้นทันทีที่ได้รู้ชื่อบิดาในตอนนี้ คลื่นลูกใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น เสียใจ และไม่คุ้นเคยก็พลันเกิดขึ้นในใจของเฉินซี

“เฉินหลิงจวิน…เฉินหลิงจวิน…” เฉินซีพึมพำและดูเหมือนกำลังรำลึกถึงความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับบิดาของเขาจากชื่อนี้ แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่า ตนเองไม่มีความประทับใจใด ๆ ต่อบิดาผู้นี้เลย

“รูปลักษณ์ของบิดา นิสัยของบิดา… ข้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง!”

“ตราบใดที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี เมื่อข้าได้พบกับท่าน ข้าจะถามเจ้าด้วยตัวเองว่า เหตุใดทำไมท่านถึงทิ้งข้าและเฉินฮ่าวไป ทำไมถึงไม่สนใจชะตากรรมของท่านปู่เลย? ทำไม…” ในใจของเฉินซีมีแต่คำว่า ‘ทำไม’ เต็มไปหมด แต่เขาเองก็รู้ดีว่า จะต้องเห็นหน้าบิดาด้วยสองตาของเขาเท่านั้น จึงจะสามารถหาคำตอบของเรื่องทั้งหมดนี้ได้

ในไม่ช้า เฉินซีได้ระงับความรู้สึกที่พลุกพล่านในใจ ก่อนจะหันกลับมายังที่พักของตน

แผ่นหยกที่ไป๋หว่านฉิงทิ้งไว้ ทำให้เห็นสิ่งหนึ่งได้ชัดเจนคือนางไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องออกจากตระกูลไป๋ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจคัดค้านได้

ถ้าเฉินซีต้องการพบนาง เขาต้องรออีกสามถึงห้าปีนับจากนี้

แต่ตอนนี้เขาก็รู้สึกพอใจอย่างมากแล้ว เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่า บุพการีของตนเองยังมีชีวิตอยู่ และมันทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นอีกครั้ง ด้วยตราบเท่าที่เขาทุ่มเทบ่มเพาะและยังคงเดินอยู่บนเส้นทางนี้ สักวันหนึ่งเขาจะได้พบกับพวกเขาอีกครั้ง!

“หือ!”

หลังจากที่เขากลับมายังบ้านไม้ และก่อนจะได้พักผ่อนสักครู่ เขาก็รู้สึกว่าแก่นโลหิตในร่างกายของตนนั้นเดือดพล่าน ในขณะที่ชายหนุ่มมีความรู้สึกแผ่วเบาว่ากำลังจะทะลวงผ่านพันธนาการและบรรลุ! ทำให้เขาต้องรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิและควบคุมการหายใจของตน

เฉินซีนั้นตระหนักได้อย่างดีว่า เพราะเขาได้เข้าสู่สภาวะของการรู้แจ้งเต๋าในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาจึงดูดซับปราณวิญญาณเข้าไปเป็นจำนวนมหาศาล ในขณะที่จิตวิญญาณ แก่นแท้ และพลังของเขาก็ได้บรรลุถึงระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินซีจะรู้สึกยินดี จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า หลังจากที่ควบคุมพลังชีวิตในร่างกายทั้งหมดได้แล้ว ความรู้สึกที่เกือบจะทะลวงได้ก็หายไปในทันที

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเวลาที่จะบรรลุยังมาไม่ถึง…?”

เฉินซีขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกว่าการบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายานี้เป็นเรื่องยากเกินไป แม้ว่าจะไม่มีทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้น แต่มันก็นับเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุดในการพิชิต นับตั้งแต่ได้เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้

ขอบเขตสถิตกายาคือการทะลวงพันธนาการของร่างกายและเปิดแดนฮุ่นตุ้นในร่าง ซึ่งเป็นขอบเขตที่เปลี่ยนกงล้อสังสารวัฏให้กลายเป็นโลกใบหนึ่ง ในเวลานั้น แก่นพลังชีวิต พลังงานในร่างกาย จิตใจ ดวงวิญญาณของผู้บ่มเพาะ… จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร

ทุกการเคลื่อนไหวที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้กระทำนั้น สามารถปรับให้สอดคล้องและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลก ก่อนที่จะปะทุด้วยศักยภาพที่ไร้ขอบเขตและความแข็งแกร่งในการต่อสู้

ในทำนองเดียวกัน นี่เป็นอุปสรรคที่เอาชนะได้ยาก ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ในโลกถูกหยุดที่กำแพงนี้ และพวกเขาต่างเสียชีวิตไปพร้อมกับความเกลียดชังที่อยู่ในใจ เนื่องจากอายุขัยของพวกเขาหมดลง

แม้ว่าจะอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ แต่การมีอยู่ของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ ผู้บ่มเพาะที่บรรลุขอบเขตนี้มักจะได้รับการกล่าวขานด้วยความเคารพว่าเป็นผู้บ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่!

คำว่า ‘ยิ่งใหญ่’ แสดงให้เห็นถึงความสูงส่งและพลังอำนาจ ซึ่งเป็นตัวของขอบเขตสถิตกายา

“ช่างมันเถิด ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา การยืนกรานก็มีแต่จะทำให้ข้าต้องกังวลมากขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ ข้าจะปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามโชคชะตา..” ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็ฟื้นคืนสติและเริ่มบ่มเพาะ

การต่อสู้กับไป๋กังทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะความเข้าใจและการใช้ประโยชน์จากศาสตร์เต๋า ซึ่งทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของศาสตร์เต๋าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ศาสตร์เต๋าเป็นศาสตร์และศิลป์แห่ง ‘เต๋า’ ยิ่งบ่มเพาะมันมากเท่าไร คนผู้นั้นก็ยิ่งสามารถชื่นชมพลังและความลึกซึ้งของมันได้มากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าความรู้เกี่ยวกับศาสตร์เต๋าของเขาในตอนนี้ก็เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น และยังไม่ได้บรรลุถึงสถานะที่สมบูรณ์แบบ แต่ชายหนุ่มก็สามารถผ่านเกณฑ์ของมันได้ในที่สุด ตราบเท่าที่ไตร่ตรองและทำความเข้าใจมันอย่างช้า ๆ เขาจะสามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบได้ในที่สุด

รุ่งอรุณของวันต่อมา เฉินซีเพิ่งตื่นจากการทำสมาธิ จากนั้นเขาก็ออกจากยอดเขาจรัสตะวันตกและมุ่งหน้าไปยังโถงภารกิจสวรรค์ที่อยู่บนยอดเขาจรัสสสาร

โถงภารกิจสวรรค์เป็นสถานที่รับภารกิจ และเขาต้องการรับช่วงต่อแทนชิงอวี่ เพื่อทำภารกิจทั้งหมดที่ยอดเขาจรัสตะวันตกได้ติดค้างอยู่

ฟิ้ว!

ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็มาถึงยอดเขาจรัสสสาร และเขาอาศัยตราคำสั่ง ‘ศิษย์ชั้นสูง’ เพื่อผ่านข้อจำกัดนับไม่ถ้วนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และมาถึงภายในโถงภารกิจสวรรค์

ภายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมีข้อจำกัดมากมายที่ซ่อนอยู่ในอากาศ ซึ่งหากเป็นคนที่ไม่ได้มาจากนิกาย แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังมิอาจก้าวเข้าสู่นิกายแม้แต่ก้าวเดียว และถ้าคนผู้นั้นไม่ได้มาจากนิกาย อีกทั้งยังถูกข้อจำกัดตรวจพบ คนผู้นั้นก็จะถูกจำกัดโดยตรง

นี่คือความลับของการเป็นหนึ่งในสิบนิกายอันยิ่งใหญ่ของแดนภวังค์ทมิฬ ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีทางที่คนนอกจะแอบเข้ามาในกองกำลังที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้ หรือต่อให้กลุ่มของเซียนสวรรค์จะโจมตี แต่มันก็จะไร้ประโยชน์

ในขณะนี้ มีศิษย์มากกว่าร้อยคนมารวมตัวกันภายในโถงภารกิจสวรรค์ซึ่งมีกลิ่นอายอันโอ่อ่า ยิ่งกว่านั้นยังมีศิษย์ที่วิ่งเข้ามาเป็นระยะ ๆ ทำให้มันดูคึกคักเป็นอย่างมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]