บทที่ 630 ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง
บทที่ 630 ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง
อาคารที่เรียกว่าตำหนักเมฆาเยือกแข็ง ตั้งตระหง่านอยู่ไกลจากตัวเมือง และมันก็เหมือนกับกระบี่สีขาวดุจหิมะที่แทงทะลุท้องฟ้า ที่ทั้งโดดเดี่ยว เย็นชา อีกทั้งยังสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ มีต้นไม้โบราณขนาดมหึมาที่สูงตระหง่านอยู่ภายในหมู่เมฆและอยู่ที่ด้านข้างของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง ซึ่งเดิมที ตำหนักเมฆาเยือกแข็งก็สูงอยู่พอสมควร แต่กลับดูเหมือนว่ามันจะเตี้ยกว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นเล็กน้อย
ต้นไม้โบราณต้นนี้ดูเหมือนกับว่าก่อตัวขึ้นจากผลึกน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์ และมีน้ำค้างแข็งปกคลุมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกิ่งก้านหรือใบ ทุกสิ่งดูเหมือนหินหยกน้ำแข็ง ยอดของต้นไม้นั้นสูงตระหง่านขึ้นไปในท้องฟ้า และไม่มีใครเห็นได้แน่ชัดว่าต้นไม้นั้นสูงถึงเพียงใด เพราะดูเหมือนว่ามันได้แผ่ขยายออกไปเหนือสวรรค์ทั้งเก้า และสูงตระหง่านไปถึงจักรวาลอันไร้ขอบเขต
“นี่มันต้นไม้อันใดกัน?” เฉินซีกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจในระหว่างทาง เพราะต้นไม้โบราณนี้งดงามสุดจะพรรณา แม้แต่ลำต้นของมันก็ยังต้องใช้คนถึงสิบยี่สิบคนจึงจะโอบรอบไว้ได้ อีกทั้งมันยังยิ่งใหญ่และโอ่อ่ายิ่งกว่าภูเขา ทำให้มันเปล่งประกายระยิบระยับเป็นพิเศษขณะที่มันยืนต้นอยู่ในเมือง
“นี่คือ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง และการดำรงอยู่ของมันก็สืบย้อนไปถึงตอนที่ก่อตั้งเมืองเหมันต์บรรพกาลเมื่อนานมาแล้ว ว่ากันว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ถือกำเนิดขึ้นจากใบของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬในยุคบรรพกาล” อันเวยอธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเฉินซีพลันส่องประกาย เพราะสิ่งนี้มันน่าอัศจรรย์เกินไป! ใบไม้เพียงใบเดียวกลับเติบโตเป็นต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านไปถึงท้องฟ้า แล้วเช่นนี้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่แท้จริงจะน่าอัศจรรย์ถึงเพียงใดกัน?
มีคำเล่าขานกันว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเป็นสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภพมนุษย์กับภพเซียนในยุคบรรพกาล และมันก็ถูกประทับด้วยความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งโลก ทำให้มันสว่างไสวด้วยความเจิดจ้าและแทบจะเป็นนิรันดร์
ต่อมา หลังจากประสบหายนะที่แพร่กระจายไปทั้งสามภพ มันก็หายไปจากโลก ในขณะที่รากของมันที่ยังคงขดอยู่บนภูเขาเก้าหอคอย และเศษชิ้นส่วนที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่มันตาย ก็กลายเป็นเหวเงาทมิฬในปัจจุบัน
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งต้นนี้เติบโตขึ้นจากใบของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ถ้าความจริงเป็นเช่นนั้นจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และการดำรงอยู่ของมันก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน
“แต่พูดตามหลักเหตุผลแล้ว เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ปรากฏขึ้น มันอาจถูกผู้ยิ่งใหญ่ยึดครองไปแล้ว ดังนั้นมันจะตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ โดยไม่มีผู้ใดได้ไปได้อย่างไรกัน?” เฉินซีถามอันเวย เพราะเขาสนใจเรื่องนี้มาก และสัญชาตญาณของชายหนุ่มก็บอกเขาว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งต้นนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
“ช่างน่าขัน! คนอื่นจะเอาไปได้อย่างไร? ต้นไม้นี้เป็นรากฐานของเมืองเหมันต์บรรพกาล ทุกครั้งที่เหวเงาทมิฬกำลังจะปรากฏขึ้น ต้นไม้นี้จะเปล่งเสียงของมหาเต๋า เพื่อเตือนทุกคนในโลกว่าเหวเงาทมิฬกำลังจะปรากฏ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ เป็นเพราะจู่ ๆ ต้นไม้ต้นนี้ได้เปล่งเสียงของมหาเต๋าเมื่อเจ็ดวันก่อน จึงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั่วทุกสารทิศถูกดึงดูดและตั้งใจที่จะเข้าสู่เหวเงาทมิฬเพื่อแสวงโชค”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากไม่มีต้นไม้นี้ ทุกคนในโลกจะไม่สามารถค้นหาการมีอยู่ของเหวเงาทมิฬได้อย่างสิ้นเชิง ภายใต้ภาวะเช่นนี้ แล้วใครจะกล้าทำร้ายมัน? หากเป็นเช่นนั้น คน ๆ นั้นจะถูกไล่ล่าโดยผู้บ่มเพาะทุกคนในโลกอย่างแน่นอน และคงไม่มีใครที่สามารถทนต่อผลที่ตามมาได้”
ผู้ที่ตอบเฉินซีหาใช้อันเวย แต่กลับเป็นหลงเจิ้นเป่ยที่อยู่ใกล้เคียง ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจที่เฉินซีและอันเวยต่างพูดคุยกระซิบกระซาบเป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้าตัวก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่แยแส อีกทั้งยังแสดงความเป็นศัตรูออกมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ แทน เพราะเขาได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว ส่วนเรื่องที่จะเปลี่ยนทัศนคติของหลงเจิ้นเป่ยที่มีต่อตนเองนั้น ชายหนุ่มไม่รู้ได้รู้สึกสนใจใด ๆ
“อันที่จริง ยังมีอีกข่าวลือหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ” จู่ ๆ อันเวยก็พูดกับเฉินซีอย่างกระทันหัน
“โอ้ ข่าวลืออะไรหรือ?” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เฉินซี แม้แต่หลงเจิ้นเป่ยก็ตกตะลึงและแสดงท่าทางงงงวย
“ในยุคบรรพกาล เหล่าทวยเทพต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ในขณะที่เหล่าปราชญ์ต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ มันเป็นยุคที่รุ่งโรจน์สุดขีด และยังเป็นยุคแห่งความสับสนวุ่นวายอีกเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การแบ่งอำนาจภายในภพทั้งสามก็เพิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในเวลานั้น…”
“การดำรงอยู่ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภพเซียนและภพมนุษย์ อีกทั้งมันครอบครองร่างของเต๋าโดยกำเนิดและยังเข้าถึงพลังแห่งการสร้าง ทำให้มันเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก”
“อย่างไรก็ตาม เมื่อมหันตภัยที่ส่งผลต่อภพทั้งสามได้มาถึง แม้มันจะมีความสามารถที่สูงมาก แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นจากมหันตภัยนี้ได้ ดังนั้นมันจึงผนึกพลังกับสิ่งมีชีวิตสูงสุดอีกตนหนึ่งและคว้าร่องรอยของโอกาสที่จะมีชีวิตรอด และแม้ว่าร่างกายของมันจะสูญสลายไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีเศษเสี้ยวของวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่”
“ยิ่งไปกว่านั้น เศษเสี้ยวของวิญญาณนี้ซุกซ่อนอยู่ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง และมันกำลังรอโอกาสที่จะเกิดใหม่อีกครั้ง”
“อันใดนะ!?” หลงเจิ้นเป่ยแทบตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เพราะมันคงจะน่ากลัวเกินไปหากเป็นเรื่องจริง
ลองคิดดูซิ มันคือวิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อมโยงภพเซียนกับภพมนุษย์เข้าด้วยกัน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง แต่ถ้ามันมีอยู่จริง สิ่งนี้ก็อาจทำให้เหล่าทวยเทพของทั้งสามภพคลุ้มคลั่งได้!
ในใจของเฉินซีรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากข่าวลือนี้น่าอัศจรรย์เกินไป และทำให้เขาแทบไม่กล้าเชื่อ ท้ายที่สุด ยุคบรรพกาลก็ได้ผ่านมาเนิ่นนานแสนนาน และถ้าวิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬยังคงอยู่ มันก็จะเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง!
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือ และข้าอ่านเจอมาจากคัมภีร์โบราณ ซึ่งไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่” อันเวยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้บอกหรือ ว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬได้ผนึกกำลังกับสิ่งมีชีวิตสูงสุดตนหนึ่งเพื่อคว้าโอกาสที่จะมีชีวิตรอดและเพื่อรักษาจิตวิญญาณของมันไว้? การดำรงอยู่ประเภทใดที่เป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุด?” แม้จะเป็นเพียงข่าวลือ แต่เฉินซีก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือ ว่าแม้ข่าวลือนี้จะเป็นเรื่องโกหก แต่มันก็ไม่เสียหายที่จะรับฟังมากกว่านี้ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องจริง บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต
“ข้าไม่รู้” อันเวยยักไหล่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...