บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 692

บทที่ 692 อัสนีม่วงและผลึกเยือกแข็งคราม

บทที่ 692 อัสนีม่วงและผลึกเยือกแข็งคราม

แม่น้ำนรกปะทุขึ้นอย่างรุนแรงและทรงพลังราวกับมังกรดำคำราม คลื่นพายุที่ซัดเข้าหาฝั่งนั้นดูอันตรายอย่างยิ่ง

กลุ่มคนของเผ่านรกขุมที่เก้า ขณะนี้กำลังเคลื่อนตัวไปตามแม่น้ำสายนี้

โม่ย่ากับองครักษ์สามคนนำอยู่ทางด้านหน้าของกลุ่ม และทำหน้าที่เป็นกองหน้า

เหมิงเหวยและองครักษ์อีกห้าคนยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่ม คอยเฝ้าระวังศัตรูจากต่างพิภพที่อาจไล่ตามมาทัน

เฉินซีเดินอยู่ตรงกลาง เขาพบว่าเมื่อพวกเขาเริ่มออกเดินทาง บรรดาเด็ก ๆ ดูราวกับกลายเป็นคนละคน พากันจัดแบ่งกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละสิบคน เป็นจำนวนแปดกลุ่มด้วยกัน และต่างคอยทำหน้าที่ปกป้องด้านข้างของกลุ่ม คนทั้งหมดพากันเผยสีหน้าระแวดระวังและมีท่าทางจริงจัง

ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นระเบียบวินัยอย่างยิ่ง ราวกับขบวนของกองทัพ แม้ว่าจะมีกันอยู่เพียงไม่กี่คน แต่ก็เผยให้กลิ่นอายของหัวกะทิที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มานับร้อยครั้ง

กองทัพ?

เฉินซีชะงักไป เมื่อจู่ ๆ ความคิดที่กล้าได้กล้าเสียนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา ถ้าชายหนุ่มทำให้ผู้บ่มเพาะที่ไม่เป็นระเบียบเหล่านี้รวมกันกลายเป็นกองทัพได้ พลังการต่อสู้ของพวกเขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน?

หากกองทัพดังกล่าวได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข และมีผู้บัญชาการที่เชี่ยวชาญในการวางแผนคอยสั่งการพวกเขาด้วยตัวเอง ประสิทธิภาพการรบก็ย่อมจะน่าเกรงขามมากขึ้น ใช่หรือไม่?

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดกองทัพนี้ประกอบด้วยผู้บ่มเพาะกระบี่ทั้งหมดล่ะ พลังโจมตีของพวกเขาจะรุนแรงได้มากถึงขนาดไหนกัน?

ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไร เฉินซีก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกกระตือรือร้นที่จะลองใช้รูปแบบการต่อสู้นี้เล็กน้อย

ในอดีต การเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจของโลกแห่งการบ่มเพาะ แทบทั้งหมดมักจะเป็นการปะทะกันแบบสุ่มและกระจัดกระจาย ราวกับฝูงตั๊กแตนที่บินว่อนเต็มท้องฟ้า ต่อสู้กันอย่างไร้ระเบียบ และฝ่ายที่มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากกว่าก็จะได้เปรียบกว่า

แทบไม่เคยมีใครคิดเกี่ยวกับการจัดผู้บ่มเพาะให้เป็นกองทัพ หรือใช้ระเบียบวินัยในการยับยั้งพวกเขาและออกคำสั่งเพื่อควบคุมผู้คนมาก่อนเลย ซึ่งทั้งหมดที่ต้องทำก็มีเพียงแค่รับสมัคร กับสร้างการต่อสู้รูปแบบใหม่ขึ้นมา

ประเด็นสำคัญคือ นิสัยของผู้บ่มเพาะนั้นหละหลวมไร้ระเบียบวินัยมากเกินไป สิ่งที่พวกเขาแสวงหาคืออิสรภาพและการไร้ข้อจำกัดผูกมัด ดังนั้น เว้นแต่จะเป็นคำสั่งของผู้อาวุโสในนิกาย พวกเขาจึงแทบจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของใครทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ยิ่งฐานการบ่มเพาะของผู้บ่มเพาะสูงมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาสามารถดึงดวงจันทร์จากท้องฟ้า คว่ำมหาสมุทร และทำลายล้างเมืองในชั่วพริบตา คนเหล่านี้จึงดูถูกการต่อสู้เป็นกลุ่ม เช่นวิธีการรบแบบกองทัพอย่างยิ่ง

จนถึงตอนนี้ มันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเจอ กองทัพที่สร้างจากผู้บ่มเพาะ

แต่เฉินซีไม่คิดอย่างนั้น จากมุมมองของเขา ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลสิบคนอาจจะไม่สามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้ แต่ถ้าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งสิบคนนี้ถูกจัดเป็นกลุ่ม และได้รับสมบัติวิเศษรูปแบบคล้ายกัน รวมถึงได้รับการฝึกอบรมที่ซับซ้อน มีประสิทธิภาพ จนทำให้พวกเขาประสามงานกันได้แม้จะอยู่ห่างกัน ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้ แต่นั้นก็เพียงพอที่จะลดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขาให้ใกล้กันมากขึ้น แม้แต่การจะจบลงด้วยการเสมอกันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

เฉินซียังจินตนาการถึงขนาดที่ว่า หากเขาสามารถจัดระเบียบผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี หรือแม้กระทั่งเซียนสวรรค์ หรือเทพให้เป็นกองทัพขึ้นได้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างพิภพมากมายในจักรวาลได้อย่างแน่นอน!

กระทั่งถึงช่วงเวลาตั้งค่าย ชายหนุ่มยังคงอนุมานถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดนี้ต่อไป จนดูราวกับว่าเขาจะตกอยู่ในอาการวิกลจริต

“ลุงเฉินซี ถึงเวลาสอนพวกเราแล้ว” จู่ ๆ เจ้าเด็กขี้แยก็วิ่งเข้ามา และพูดพร้อมกับดูดนิ้วของเขาไปด้วย

เฉินซีได้สติรู้สึกตัวในทันใด เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเด็กเล็กเหล่านั้นรออยู่ที่ใจกลางค่ายแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่เด็กกลุ่มอื่นก็ยังยืนรอให้ชายหนุ่มไปสอนอยู่ที่นั่นด้วย

หลังจากบทเรียนแรกของเมื่อวานนี้จบลง เด็กเหล่านี้ก็เชื่อมั่นในความรู้อันลึกซึ้งของเฉินซี และเริ่มพยายามยอมรับชายหนุ่ม ไม่ต่อต้านเขาอีกต่อไป

ภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

เยาวชนเหล่านี้เดินทางมาทั้งวัน แต่ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อย พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นของตัวเองได้ เมื่อนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างจากเมื่อวานนี้ ดังนั้นเด็ก ๆ จึงรีบวิ่งกันเข้ามา ด้วยความตั้งใจที่จะได้รับคำแนะนำจากเฉินซีในทันที

เฉินซีไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้นัก

“เริ่มจากบทเรียนนี้เป็นต้นไป ข้าวางแผนที่จะเปลี่ยนวิธีการฝึกเล็กน้อย มันจะสามารถทำให้พวกเจ้าทุกคนแข็งแกร่งขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเจ้าต้องการที่จะเรียนรู้มันหรือไม่?” ชายหนุ่มกวาดสายตามองเด็ก ๆ ทีละคนขณะที่พูด

“ต้องการขอรับ/เจ้าค่ะ!” ทุกคนตอบออกมาพร้อมกัน โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เฉินซีพยักหน้า และเริ่มจัดระเบียบพวกเขาใหม่ทันที

มีเด็กที่โตประมาณหนึ่งทั้งหมดเจ็ดสิบหกคน และเด็กเล็กสิบสามคน ส่วนระดับการบ่มเพาะของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป ทว่าสิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันคือ พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ฝึกทักษะขัดเกลากายา

ภายใต้การจัดการของเฉินซี เด็ก ๆ เหล่านี้จึงได้ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มชั่วคราว

กลุ่มหนึ่งคือ คนที่เหมาะสมสำหรับการขัดเกลากายา รวมแล้วทั้งหมดหกสิบคน พวกเขาได้รับการขนานนามว่าค่ายอัสนีม่วง ซึ่งเป็นเยาวชนที่มีอายุมากกว่าสิบสองปีและต่ำกว่าสิบห้าปี

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ คนที่เหมาะสำหรับการบ่มเพาะปราณแท้ รวมแล้วทั้งหมดยี่สิบเก้าคน พวกเขาถูกเรียกว่าค่ายผลึกเยือกแข็งคราม ในจำนวนนี้มีเด็กเล็กสิบสามคน และเด็กที่มีอายุประมาณสิบขวบอีกสิบหกคน

ไม่นานนัก เฉินซีก็ได้แบ่งเด็ก ๆ ทั้งหกสิบคนของค่ายอัสนีม่วง ออกเป็นสามกลุ่มเล็ก กลุ่มละยี่สิบคน แต่ละกลุ่มมีหัวหน้ากลุ่มเป็นเจ้าดำ เจ้าหน้าบาก เจ้าโล้น ตามลำดับ

ค่ายผลึกเยือกแข็งครามเองก็ถูกออกเป็นสามกลุ่มเล็ก ๆ เช่นกัน กลุ่มละสิบคนสองกลุ่ม และอีกเก้าคนอยู่ด้วยกันอีกหนึ่งกลุ่ม

นี่เป็นความพยายามในการจัดตั้งกองทัพครั้งแรกของเฉินซี ในตอนแรก มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเท่าไร ทว่าเมื่อการจัดกลุ่มดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ประกายในดวงตาของเขาก็ยิ่งสว่างขึ้น การเคลื่อนไหวของเขาคล่องตัวเป็นระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การจัดกลุ่มของชายหนุ่มค่อย ๆ ราบรื่นยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน กลิ่นอายแห่งความมั่นใจก็เริ่มแผ่กระจายออกมาจากตัวเขาอย่างเงียบ ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]