บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 741

บทที่ 741 เหยียบจมูกขึ้นหน้า

บทที่ 741 เหยียบจมูกขึ้นหน้า

พรวดด!

ร่างนั้นกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ในขณะที่ฟองเลือดสีแดงสาดกระเซ็นออกมาจากปากของเขา

“ศิษย์พี่อวิ๋นเยี่ย!” ศิษย์ทั้งหมดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในห้องโถงล้วนอุทานด้วยความตกใจ เพราะร่างที่กระเด็นออกมาคืออวิ๋นเยี่ย และนี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน!

…เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชาตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น อวิ๋นเยี่ยก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว!!

ฟิ้ว!

ใบหน้าของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ในขณะที่ร่างของเขาทะยานออกไปและคว้าร่างของอวิ๋นเยี่ยเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้มลงกับพื้น

“ดวงตาข้า! เนตรทองคำขาวจักรพรรดิพิสุทธิ์ของข้า!” เสียงร้องโหยหวนและโกรธเกรี้ยวของอวิ๋นเยี่ยดังก้องออกมา ในขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน และดวงตาของเขาก็ปิดแน่น จะมีก็เพียงเลือดสองสายที่ไหลออกมาจากพวกมัน

ฟางจิ้งเลวี่ยได้โจมตีอย่างโหดเหี้ยม และทำให้ดวงตาของอวิ๋นเยี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส!

สีหน้าของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและคนอื่น ๆ มืดมนในทันที พวกเขาต่างโกรธเกรี้ยว …พรสวรรค์เช่นเนตรทองคำขาวจักรพรรดิพิสุทธิ์นั้นหาได้ยาก มีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น ดังนั้นหากดวงตาของอวิ๋นเยี่ยพิการ ชีวิตทั้งชีวิตของเขาก็จะถูกทำลาย!!

“กับแค่เนตรทองคำขาวจักรพรรดิพิสุทธิ์? เจ้ากลับกล้าที่จะยั่วยุข้า? การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้เจ้าเข้าใจว่าหายนะนั่นมาจากปาก และมีบางคนที่เจ้าไม่สามารถล่วงเกินได้!” ฟางจิ้งเลวี่ยยืนกอดอกอยู่บนสังเวียนพินิจกระบี่อย่างภาคภูมิ และร่องรอยการดูถูกเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “เหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่าได้กังวล ข้ารู้ว่าควรยั้งมือตอนไหน และไม่ทำให้ดวงตาของเขาพิการอย่างแน่นอน ข้าก็แค่ให้บทเรียนแก่เขาเท่านั้น”

“บังอาจ! ศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าเป็นคนที่เจ้าสามารถสั่งสอนได้หรือ!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอย่างมีโทสะ

“ผู้อาวุโส โปรดสงบความโกรธของท่าน เนื่องจากเป็นการประลองยุทธ์ การบาดเจ็บจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ศิษย์น้องฟางได้ยั้งมือไว้แล้ว มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงย่ำแย่กว่านี้” ไป๋หลี่เยียนที่อยู่ใกล้เคียงมีสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมย

“ฮึ่ม!” ผู้อาวุโสคนนั้นแค่นเสียงและยังคงนิ่งเงียบ

เนื่องจากพวกเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติจากเขาวิญญาณนิรันดร์ ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เจ้าตัวก็ไม่กล้าผลีผลามล่วงเกินพวกเขา ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่า อวิ๋นเยี่ยมีทักษะด้อยกว่ามากในระหว่างการประลองครั้งนี้นั่นอีก!

“เอาล่ะ พาอวิ๋นเยี่ยไปรักษาตัวซะ” เลี่ยเผิงสะบัดแขนเสื้อของเขา สั่งให้ผู้อาวุโสคนนั้นรีบออกจากโถงพินิจกระบี่ไปพร้อมกับอวิ๋นเยี่ย

ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องโถงพลันมาคุขึ้นเล็กน้อย

การพ่ายแพ่ของอวิ๋นเยี่ยทำให้เกิดเงามืดในหัวใจของศิษย์ทุกคนจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างไม่ต้องสงสัย และขวัญกำลังใจของพวกเขาก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

ในขณะเดียวกัน ทุกคนจากเขาวิญญาณนิรันดร์ต่างยืนกอดอก พลางเย้ยหยันด้วยท่าทางหยิ่งผยองและผ่อนคลาย ราวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อยู่ในความคาดหมายของพวกเขา

“ศิษย์น้องฟาง ลงมาเถิด วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก” องค์หญิงไป๋หลี่ยิ้มขณะกล่าวกับฟางจิ้งเลวี่ย

“องค์หญิง โปรดรอสักครู่ ข้าเพิ่งยืดเส้นยืดสาย และข้ายังอยากเล่นกับเหล่าศิษย์จากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอีกหน่อย” ฟางจิ้งเลวี่ยแสดงออกอย่างไร้กังวล

“ฮ่า ๆ ศิษย์พี่ฟางช่างชอบการต่อสู้เสียจริง ๆ”

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ฟางมักถอนหายใจ แล้วกล่าวว่าการหาคู่ต่อสู้ในหมู่คนรุ่นเดียวกันเป็นเรื่องยากยิ่ง และครั้งนี้เขาอุตส่าห์ได้โอกาสในการต่อสู้มาอย่างยากลำบาก ดังนั้นเขาจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้อย่างไรกัน?”

“โอ้ ข้าสงสัยนักว่าศิษย์อัจฉริยะของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง จะกล้าท้าทายเขาหรือไม่?”

ศิษย์ทั้งหมดของเขาวิญญาณนิรันดร์ต่างสนทนาอย่างมีชีวิตชีวา ต่างคนต่างแสดงสีหน้าเยาะเย้ยออกมา

เมื่อเสียงเหล่านี้กระทบโสตของฉางเล่อ หวังจ้งฮ่วน และศิษย์ชั้นยอดคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มันก็ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านอย่างมาก ใบหน้าของทุกคนถึงกับซีดเผือดจากวาจายั่วยุ

“ในเมื่อศิษย์พี่ฟางจากเขาวิญญาณนิรันดร์ยังเล่นไม่จบ เช่นนั้นข้าหลงเจิ้นเป่ยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าเอง!” หลงเจิ้นเป่ยลุกขึ้นและกล่าวอย่างเย็นชา

“เจ้า?” ฟางจิ้งเลวี่ยพินิจหลงเจิ้นเป่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่มุมปากของเขาจะปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยาม “ถ้าเจ้าต้องการต่อสู้กับข้าฟางจิ้งเลวี่ย เจ้าต้องมีพลังที่คู่ควรเสียก่อน”

“เจ้าหมายถึงอะไร!?” หลงเจิ้นเป่ยกล่าวด้วยเสียงทุ้มหนัก ในขณะที่ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวเหยเก

ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบหลงเจิ้นเป่ย เขามีสีหน้าผ่อนคลาย ในขณะที่กวาดสายตามองฉางเล่อ หวังจ้งฮ่วน อันเวย และคนอื่น ๆ ก่อนจะมองไปที่เฉินซีอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าตัวก็ชี้ไปยังชายหนุ่ม “เฉินซี ข้าได้ยินว่าเจ้าฆ่าเยี่ยนสือซาน และตอนนี้ชื่อเสียงของเจ้าในแดนภวังค์ทมิฬก็เหมือนดั่งดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ดังนั้นคำถามสำคัญก็คือ… เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?”

ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง เพราะพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า ฟางจิ้งเลวี่ยจะปฏิเสธการท้าประลองของหลงเจิ้นเป่ย และชี้กระบี่ไปที่เฉินซีแทน!

ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงพลันขมวดคิ้ว แต่หาได้หยุดเรื่องนี้ไม่

ส่วนฉางเล่อ หวังจ้งฮ่วน และคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าซับซ้อน เนื่องจากการกระทำของฟางจิ้งเลวี่ยนั้นไม่ได้เหลือบแลต่อการมีอยู่ของพวกเขา ซึ่งทั้งหยิ่งผยองและยโสโอหังอย่างมาก ทั้งยังเป็นการยอมรับความแข็งแกร่งของเฉินซีในอีกทางหนึ่งด้วย

แต่ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็ระงับความคิดและจ้องมองไปทางเฉินซีด้วยความคาดหวังเล็กน้อย “ใช่แล้ว ตอนนี้เฉินซีมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ฉะนั้นความแข็งแกร่งของเขาย่อมสูงส่งกว่าเดิม จริงหรือไม่?”

ในขณะเดียวกัน สายตาของทุกคนในห้องโถงต่างจับจ้องไปที่เฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน การจ้องมองเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย การยั่วยุ ความคาดหวัง ความตื่นเต้น และอื่น ๆ อีกมากมาย

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ ท่ามกลางสายตาที่จดจ่อของทุกคนในตอนนี้ เฉินซีดูจะไม่ได้ยินเสียงของฟางจิ้งเลวี่ย เขานิ่งเงียบและก้มหน้าลง ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนรูปปั้นดินเหนียว และไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่

มีเพียงอันเวยเท่านั้นที่รู้ว่าอารมณ์ของชายหนุ่มย่ำแย่มากในขณะนี้ มันย่ำแย่อย่างมากหลังจากที่เฉินซีได้เห็นเนื้อความในแผ่นหยกที่มู่ขุยทิ้งไว้ …ชายหนุ่มดูจะกลายเป็นคนละคน และกลิ่นอายที่เขาปล่อยออกมานั้นก็เต็มไปด้วยความเย็นชาที่น่ากลัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]