บทที่ 106 ลองหยั่งเชิง
ตั้งแต่ต้นจนจบองค์หญิงใหญ่ไม่ได้มองฉินเฟิงเลยสักครั้ง นางเพ่งความสนใจไปที่การปักด้ายบนผ้าสีสันสดใส หากไม่เห็นด้วยตาของตนเอง ใครจะคิดว่าองค์หญิงใหญ่ผู้สูงศักดิ์ที่มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้จะมี ‘งานอดิเรกเล็กน้อย’ เฉกเช่นคนธรรมดาสามัญ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าองค์หญิงใหญ่แตกต่างออกไป ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะตั้งกำแพงระมัดระวังไว้ในใจ
องค์หญิงใหญ่ร้อยด้ายพลางเอ่ยถามอย่างเหม่อลอย “ฉินเฟิง เจ้าจงตอบข้าตามความจริง บทกวีเมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวันบทนั้น แต่งโดยเสิ่นชิงฉือพี่หญิงของเจ้า หรือว่าเจ้ายืมดอกไม้ถวายพระ?*[1]”
เอ่อ นี่คือเหตุผลที่เรียกข้ามาถามอย่างนั้นเหรอ?
ฉินเฟิงลอบกลอกตาในใจ
หากเป็นเช่นนั้นก็จะต้องมีการประทานของรางวัลน่ะสิ?
แต่เมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วยแล้ว ฉินเฟิงก็ล้มเลิกความคิดไป หากองค์หญิงใหญ่รู้ว่าบทกวีนี้ไม่ได้แต่งโดยเสิ่นชิงฉือ คงทำให้เกิดปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วังหลังมีกฎเกณฑ์มากมาย มีโทษฐานนานาประการ ตราบใดที่องค์หญิงใหญ่ต้องการยัดความผิดให้เขาสักหนึ่งกระทง นั่นก็เพียงพอจะทำให้ฉินเฟิงถูกทุบตีจนตายได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น…
จิตใจของสตรีก็เหมือนเข็มในทะเล
ใครเล่าจะรู้ว่าองค์หญิงใหญ่ผู้นี้กำลังคิดทำสิ่งใด ในวังหลังแห่งนี้ต้องระวังคำพูดและการกระทำให้มาก มิเช่นนั้นฉินเฟิงคงได้ถูกหามออกทางประตูหลังจริง ๆ เป็นแน่
ฉินเฟิงเกาศีรษะแกรก ๆ แสร้งทำเป็นไร้พิษภัยต่อมนุษย์และสัตว์ พลางเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักไปด้วย “บทกวีเมาเงาบุปผาบทนั้น อารมณ์ที่เปิดเผยระหว่างบรรทัดและตัวอักษรล้วนออกมาจากจิตใจของสตรีที่ละเอียดอ่อน กระหม่อมเป็นบุรุษจะแต่งออกมาได้อย่างไร คนที่ไม่รู้จะคิดว่ากระหม่อมเป็นคนลักเพศเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“หากองค์หญิงทรงชื่นชอบ กระหม่อมจะกลับไปบอกพี่หญิงใหญ่ให้แต่งบทกวีถวายพระองค์อีกสีกเจ็ดแปดบท อย่างไรเสียพี่หญิงของข้าก็เป็นสตรีมากพรสวรรค์ที่ได้รับการยอมรับในเมืองหลวง พรสวรรค์เล็กน้อยด้านวรรณกรรมนางก็พอจะมีอยู่บ้าง”
พรสวรรค์เล็กน้อยด้านวรรณกรรมหรือ? คนที่สามารถแต่งบทกวีเมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวัน จะเรียกว่าเป็นยอดอัจฉริยะก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการพูดเกินจริงนัก
ฉินเฟิงคนนี้แสร้งทำเป็นบ้า หรือว่าเขาโง่จริง ๆ เขาไม่รู้ความหมายของบทกวีนี้เลยหรืออย่างไร
แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็เป็นคนมีความสามารถที่สร้างผลงานชิ้นเอกอย่าง ‘ออกด่าน’ เขาจะไม่รู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในบทกวีได้อย่างไร?
มุมปากขององค์หญิงใหญ่ยกขึ้นเล็กน้อย เข้าใจชัดแจ้งแล้ว และไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก
“หากสามารถแต่งบทกวีอย่างเมาเงาบุปผาได้อีกสักสองสามบท นับประสาอะไรกับตำแหน่งสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ต่อให้เป็นตำแหน่งสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียงก็ต้องเป็นของคุณหนูใหญ่จวนฉิน แต่ว่าข้าไม่โลภเพียงนั้น มีบทเดียวบนกระดาษก็พอแล้ว เพราะบทกวีนี้ราวกับปักลงกลางใจข้า อ่านมากเกินไปจะรู้สึกเศร้าตลอดเวลาเอาได้ เช่นนั้นคงไม่ดีนัก”
สิ้นประโยค นางกำนัลที่อยู่ข้างกายก็หยิบกล่องผ้าเล็ก ๆ ออกมาแล้วมอบให้ฉินเฟิง พลางพูดเสียงเบา “นี่คือรางวัลจากองค์หญิงใหญ่ นำกลับไปให้พี่หญิงของเจ้าเสีย”
ดวงตาของฉินเฟิงเป็นประกาย รางวัลพระราชทานจากในวัง เป็นสิ่งที่แม้แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อได้
ฉินเฟิงเปิดกล่องผ้าต่อหน้าองค์หญิงใหญ่และฉีหยางจวิ้นจู่ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง
องค์หญิงต้าเหลียงผู้สง่างามก็ตระหนี่เช่นกันหรือ?
ภายในกล่องมีลูกแก้วหลิวหลีใสกระจ่างส่องประกายหนึ่งเม็ด หรือก็คือลูกแก้วที่ต่อให้หล่นลงพื้นฉินเฟิงก็คร้านเกินกว่าที่จะก้มลงเก็บมันขึ้นมา
เดิมทีฉีหยางจวิ้นจู่ต้องการตำหนิฉินเฟิงที่หยาบคาย มีอย่างที่ไหน มาเปิดของขวัญต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้?


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ