บทที่ 1090 พบเจอเรื่องไม่ชอบมาพากล
อีกด้านหนึ่ง ฉินเฟิงได้กลับมารวมตัวกับแม่ลูกหนิวเอ้อร์แล้ว ขบวนรถก็กลับมาเดินทางตามปกติ
แม้จะเสียเวลาไปสามวันที่อำเภอหยูผิง แต่สำหรับฉินเฟิงที่เดินทางเบา ๆ ก็ไม่ได้ล่าช้าไปมากนัก
แต่เมื่อพิจารณาว่ากองทหารม้าทมิฬเป็นกองทหารม้าที่สวมเกราะหนัก ไม่สามารถเดินทางได้เป็นเวลานาน ถึงคนจะทนได้ แต่ม้าศึกก็ทนไม่ไหว
ดังนั้นทุก ๆ สองชั่วยาม ขบวนจะต้องหยุดพัก และพักใหญ่วันละสองครั้ง แม้จะเป็นเช่นนั้น ความเร็วในการเดินทางของฉินเฟิงก็ยังเร็วกว่าขบวนของสตรีมากทีเดียว
ท้ายที่สุดแล้ว รอบตัวฉินเฟิงนอกจากแม่ลูกหนิวเอ้อร์แล้ว ก็ไม่มี ‘ภาระ’ อื่นใดอีก ส่วนขบวนของสตรี นอกจากทหารที่คอยคุ้มกันแล้ว ยังมีบ่าวไพร่และคนรับใช้อีกไม่น้อย ยิ่งมีคนมาก ความเร็วก็ยิ่งลดลง
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่การกินอาหารแต่ละวันก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยแล้ว
รุ่งเช้าวันถัดมา ฟ้าเพิ่งจะสลัว ขบวนของฉินเฟิงก็มาถึงอำเภอหมิงที่อยู่ห่างจากอำเภอหยูผิงหนึ่งร้อยลี้แล้ว
อำเภอหมิง อย่างที่ชื่อบอก มีชื่อเสียงในการผลิตใบชา ชาภูเขาของอำเภอหมิงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วต้าเหลียง
แต่เนื่องจากเป็นฤดูหนาว อำเภอหมิงดูเงียบเหงามาก แต่ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา คนยากจนและผู้อพยพกลับพบเห็นน้อยลงมาก เห็นได้ชัดว่าอำเภอหมิงค่อนข้างมั่งคั่งกว่าเมืองอื่น ๆ อยู่ไม่น้อย ชีวิตของสามัญชนยังพอประทังชีวิตได้
สำหรับฉินเฟิงแล้ว นี่ถือเป็นข่าวดีอย่างแท้จริง เดิมทีคิดว่าการเดินทางผ่านอำเภอหมิงคงไม่ต้องใช้เวลามากนัก แต่พอมาถึงนอกอำเภอหมิง ภาพตรงหน้าก็ดึงดูดความสนใจของฉินเฟิงทันที
เห็นที่หน้าประตูเมืองมีชาวบ้านคุกเข่าอยู่กลุ่มหนึ่ง คาดว่าน่าจะมีหลายสิบคน จากการแต่งกายของคนเหล่านี้ แม้จะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่อย่างน้อยก็ดูมีกินมีใช้ ฉินเฟิงไม่เห็นใครที่ผอมแห้งแรงน้อยหรือสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นเลย
แรกเริ่มฉินเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะยุคสมัยนี้ เรื่องแบบนี้พบเห็นได้บ่อย อีกทั้งแต่ละที่ก็มีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ฉินเฟิงไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทุกเรื่องได้
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังจะนำกองทหารม้าทมิฬเดินทางผ่านไป จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากกลุ่มคน
มองไปตามเสียง เห็นสตรีอายุราวยี่สิบกว่าปีขดตัวเป็นก้อน ร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ข้าง ๆ มีบุรุษอายุราวสามสิบกว่าปีถือแส้ม้า เฆี่ยนตีสตรีผู้นั้นอย่างไร้ความปรานี
เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จ้าวอวี้หลงขมวดคิ้วถาม “สตรีผู้นี้ก่อความผิดอันใด จึงต้องถูกลงโทษต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้?”
ฉินเฟิงยักไหล่พลางตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นไปได้หลายอย่าง ลักขโมย นอกใจ หรือซ่อนเร้นความชั่ว ใครจะรู้?”
ฉินเฟิงผู้คร่ำหวอดในกฎหมายต้าเหลียงรู้ดีว่ากฎหมายหลายข้อของต้าเหลียงอนุญาตให้ลงโทษผู้กระทำผิดในที่สาธารณะได้ และผู้กระทำผิดนั้น ย่อมไม่แบ่งแยกชายหญิง
ยิ่งไปกว่านั้น ชายที่สวมชุดขุนนางผู้นั้นเพียงแค่ใช้แส้เฆี่ยนตีหญิงผู้นั้นเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลยไป ดังนั้นฉินเฟิงจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว
แต่ในช่วงเวลานั้นเอง เสียงหัวเราะดังมาจากกำแพงเมือง กลับดึงดูดความสนใจของ ฉินเฟิง
เมื่อเงยหน้ามอง เห็นชายหนุ่มสามคนรวมตัวกันอยู่บนป้อมประตูเมือง
ดูอายุไม่มากนัก ราวยี่สิบปี อีกทั้งแต่งกายหรูหราฟุ่มเฟือย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ในเมือง
ชายชุดขาวที่ยืนนำหน้า เหยียบอยู่บนขอบกำแพงเมือง ก้มมองลงมาด้านล่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
“เจ้าไม่ได้กินข้าวมาหรือไร ออกแรงให้มากกว่านี้!”
“พวกชั่วช้าพวกนี้ ตายก็ไม่เสียดาย ถึงจะตีจนตายก็ไม่มีใครตำหนิเจ้าหรอก”
“เป็นอะไรไป เจ้าคงไม่ได้เห็นใจสงสารนางกระมัง?”
เมื่อได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากพวกคุณชายด้านหลัง ขุนนางผู้นั้นก็เฆี่ยนตีแรงขึ้น แส้ที่ฟาดลงไปทำให้เสื้อผ้าของหญิงผู้นั้นขาดวิ่นไม่เป็นชิ้นดี
เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของหญิงผู้นั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกสะเทือนใจ



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ