บทที่ 1091 สามพี่น้องตระกูลหลิว
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของทหารยามดังก้องไปทั่วท้องฟ้าในพริบตา
ชาวบ้านทั้งหมดที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างตะลึง พากันมองไปยังทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา เห็นว่าบนถนนหลวงห่างออกไปเจ็ดแปดสิบก้าว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดมีกองทหารม้าน่าเกรงขามปรากฏตัวขึ้น
แม่ทัพหนุ่มผู้สง่างามสวมชุดเกราะสีดำ ผ้าคลุมสีแดงเพลิงพลิ้วไหวตามสายลม กำลังถือคันธนูอยู่
เห็นได้ชัดว่าลูกธนูเมื่อครู่นี้ถูกยิงออกมาจากมือของเขา
“เจ็บแทบตาย ใครกล้าดีกับข้า?”
“อ๊าก!!! มือข้า!”
ทหารยามกุมมือไว้ด้วยความเจ็บปวดจนต้องกระทืบเท้า เขาจ้องมองไปทางที่ลูกธนูพุ่งมาด้วยความโกรธแค้น กำลังจะด่าทอ แต่พอคำพูดมาถึงปากก็ต้องกลืนกลับลงไป
เมื่อเห็นกองทหารม้าในชุดเกราะหนักยืนอยู่บนถนนหลวง ถึงทหารยามจะหยิ่งยโสแค่ไหน ก็ไม่กล้าท้าทายกองทหารม้ากลุ่มนี้ที่ดูไม่เป็นมิตร
จ้าวอวี้หลงค่อย ๆ เก็บธนูม้า หันไปมองฉินเฟิงแล้วพูดอย่างละอายใจว่า “พี่ฉินข้าผิดเองที่ห้ามใจไว้ไม่อยู่”
“ทหารยามผู้นี้ช่างเลวทรามเหลือเกิน ถึงจะลงโทษผู้กระทำผิด ก็ไม่ควรลงมือกับเด็กสาวเช่นนี้”
ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจกับการตัดสินใจของจ้าวอวี้หลงถึงเขาไม่ลงมือ ฉินเฟิงก็จะออกคำสั่งช่วยพี่น้องคู่นั้นอยู่ดี
หลังจากสังเกตการณ์มานาน ฉินเฟิงก็มองออกแล้วว่า เหตุการณ์ตรงหน้านี้ไม่ใช่แค่การลงโทษผู้กระทำผิดเท่านั้น
ภายใต้สัญญาณพยักหน้าของฉินเฟิง จ้าวอวี้หลงควบม้าแยกออกจากขบวน เดินทางไปที่นอกประตูเมือง
เมื่อเห็นจ้าวอวี้หลงที่อยู่สูงเหนือศีรษะ ทหารยามกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น ไม่สนใจความเจ็บปวดอีกต่อไป พูดอย่างประหม่า “ท่าน…ท่านแม่ทัพ มีอันใดหรือขอรับ”
จ้าวอวี้หลงไม่ตอบแต่ย้อนถาม “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ทหารยามก็ชะงักอีกครั้ง ทำอะไรงั้นหรือ?
หรือว่า…อีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ แต่กลับยกธนูยิงมาเลย! ช่างหยิ่งผยองเกินไปแล้ว!
ทหารยามสบถในใจ แต่เมื่อเห็นชุดเกราะอันสง่างามของจ้าวอวี้หลงเขาก็ไม่กล้าแสดงอาการโกรธ ได้แต่กัดฟัน อดทนต่อความเจ็บปวดที่มือ แล้วฝืนยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวด
“พวกชาวบ้านเหล่านี้มาจากหมู่บ้านตระกูลหลิวนอกเมือง พวกมันซ่อนผู้ร้ายหลบหนี ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาสอบถามที่ซ่อนของผู้ร้าย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของจ้าวอวี้หลงวาบขึ้นด้วยแววเย็นชา “ในเมื่อเป็นการสอบสวน เหตุใดต้องลงมือรุนแรงกับเด็กสาวด้วย”
เด็กสาวงั้นหรือ?
ทหารยามมองหญิงสาวที่สลบไปแล้วพูดอย่างสงสัย “ท่านแม่ทัพ นางไม่ใช่เด็กสาวที่ไหน นางเจ้าเล่ห์นัก และยังเป็นพี่สาวของผู้ร้ายด้วย!”
เมื่อเจอคำแก้ตัวของทหารยาม สายตาของจ้าวอวี้หลงยิ่งเย็นชาขึ้น “ไม่ต้องแก้ตัว ข้าเห็นทุกอย่างแล้ว”
“หากไม่ใช่หญิงผู้นี้รับแส้แทน บางทีคนที่สลบไปอาจไม่ใช่นาง แต่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นแทน”
จ้าวอวี้หลงชี้นิ้วไปที่เด็กสาวตัวน้อยที่กำลังตัวสั่นงันงกอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาว
ทหารยามรู้สึกใจหายวาบ ถนนหลวงอยู่ห่างจากที่นี่ถึงเจ็ดแปดสิบก้าว อีกทั้งยังมีชาวบ้านมากมายบดบังสายตา แต่คนผู้นี้กลับมีสายตาที่แหลมคมถึงเพียงนี้!
เมื่อเห็นว่าปิดบังไม่ได้แล้ว ทหารยามจึงตัดสินใจพูดออกมาตรง ๆ “ถึงข้าจะทำร้ายพวกมัน แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
“พวกมันล้วนเป็นผู้ต้องหา อย่าบอกนะว่าข้าต้องคุกเข่าอ้อนวอนพวกมันด้วย?”
จ้าวอวี้หลงไม่ได้พูดอะไร ถึงอย่างไรสิ่งที่ทหารยามพูดก็ไม่ได้ผิด การปฏิบัติต่อผู้ต้องสงสัยไม่จำเป็นต้องสุภาพ แต่ในเมื่อมีผู้คนมากมายอยู่ในที่เกิดเหตุ เขากลับเลือกลงมือกับเด็กคนหนึ่ง นับว่าไร้ยางอายเกินไปแล้ว
จ้าวอวี้หลงไม่ได้ติดใจอะไรมาก เพียงจ้องมองทหารยามพลางเตือนว่า “อย่าได้ลงมือกับเด็กคนนั้นอีก”
“หากจะสอบสวนก็จงสอบสวนไป อย่าได้ทำสิ่งที่จะทำให้กฎหมายของต้าเหลียงต้องเสื่อมเสีย”
พูดจบ จ้าวอวี้หลงก็ดึงบังเหียน เตรียมจะจากไป



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ