บทที่ 11 ปฏิบัติตามกฎตระกูล
เมื่อนึกถึงนามอันเลื่องลือของตน ฉินเทียนหู่คือคนที่แม้แต่พวกขุนนางสำคัญในราชสำนักถึงสามส่วนอิจฉา แล้วเหตุใดเขาถึงให้กำเนิดเจ้าคนเช่นนี้ได้! หมดกัน ไม่เหลือแล้วศักดิ์ศรีในบั้นปลายชีวิต!
ยิ่งคิดฉินเทียนหู่ก็ยิ่งโกรธ เขาชี้ไปที่ฉินเฟิงและตะโกนด้วยความโมโห “ออกมา! เป็นชายชาตรีสูงเจ็ดฉื่อแต่กลับหลบอยู่หลังสตรี ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ถลกหนังเจ้าออกหนึ่งชั้น เจ้าคงไม่หลาบจำไปตลอดชีวิต”
เมื่อเห็นว่าฉินเทียนหู่เอาจริง ฉินเฟิงย่อมไม่ยอมถูกทุบตี ฝ่าเท้าของชายหนุ่มราวกับฉาบด้วยน้ำมัน*[1] เขารีบเผ่นออกจากห้องหนังสือ
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกล้าที่จะหนี ฉินเทียนหู่ก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาล เขากำลังจะปะทุโทสะออกมา ทว่าถูกหลิ่วหงเหยียนขวางไว้
“ท่านพ่อเจ้าคะ ที่ฉินเฟิงออกจากจวนวันนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีเจตนาขัดคำสั่งแต่มีเหตุผลบางอย่าง ท่านพ่อมีเรื่องมากมายต้องจัดการทุกวัน ย่อมไม่มีเวลากับเรื่องเล็กน้อย เกรงว่าจะลืมไปแล้วว่าวันนี้มีการสอบชุมนุมกวีที่สำนักศึกษา”
“เป็นข้าเองที่พาเขาออกจากจวนไปเข้าร่วมการสอบชุมนุมกวี”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวคนรอง สีหน้าของฉินเทียนหู่ก็ดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าความโกรธกลับไม่ได้ลดลงเลย
ตอนนี้เขาไม่ได้โกรธที่ฉินเฟิงออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่โกรธที่พอเกิดปัญหาอีกฝ่ายกลับซ่อนตัวอยู่ข้างหลังสตรี ไม่มีมาดของชายชาตรีแม้แต่น้อย
หากฉินเฟิงยอมปฏิบัติตามกฎอย่างตรงไปตรงมาก็แล้วไป แต่เจ้านั่นกลับวิ่งหนี? เรื่องนี้ทำให้ชายชราอย่างเขาโมโหยิ่งนัก!
ฉินเฟิงยืนอยู่ในสวนเอียงศีรษะลอบสังเกตฉินเทียนหู่ เมื่อเห็นว่าพี่สาวทั้งสองคนหยุดบิดาเอาไว้ได้ อารมณ์ได้ใจของอันธพาลก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “ท่านพ่อ ดูแลร่างกายด้วย อย่าทำให้ตัวเองบาดเจ็บเล่า”
“ฟู่…”
ฉินเทียนหู่อ้าปากสูดไอเย็น ฉินเฟิงทำให้เขาโมโหเสียจนยืนแทบไม่อยู่
หลิ่วหงเหยียนและจิ่งเชียนอิ่งตาไวมือไว พวกนางรีบพยุงบิดาและปลอบประโลมให้นั่งลง
หลิ่วหงเหยียนไม่รู้จะทำอย่างไรกับฉินเฟิง ทำได้เพียงปลอบฉินเทียนหู่ “ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าท่านตั้งตารอให้ฉินเฟิงมีความคิดอ่านมาตลอดหรือ? ทำไมท่านไม่ลองให้โอกาสเขาดูสักคราเล่าเจ้าคะ?”
ฉินเทียนหู่แค่นเสียงเย็น “หากเขามีความคิดอ่าน แม่หมูคงปีนต้นไม้ได้!”
หลิ่วหงเหยียนปิดปากลอบหัวเราะ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในการสอบชุมนุมกวีวันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจขึ้นมาอีกรอบ นางเอ่ยเสียงนุ่ม “วันนี้ฉินเฟิงสอบผ่านสองรอบติดต่อกัน และกลายเป็นคนดังในสำนักศึกษาเซิ่งหลินแล้วเจ้าค่ะ บทกวี “ออกด่าน” ของเขาทำให้บรรดาผู้คุมสอบของสำนักศึกษาพากันชื่นชม”
“หึ” ฉินเทียนหู่แสดงสีหน้าเย็นชา ไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย “หงเหยียน แม้แต่เจ้าก็เรียนรู้ที่จะหลอกพ่อแล้ว?”
หลิ่วหงเหยียนรีบอธิบายเสียงนุ่ม
“ชีวิตนี้บุตรสาวเคยโกหกท่านพ่อหรือเจ้าคะ? แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ ๆ ฉินเฟิงถึงเปลี่ยนไปมาก แต่บุตรสาวก็อยู่ข้างกายเขาตลอด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนได้เห็นกับตา ข้าไม่ได้ปิดบังอันใดท่านพ่อแม้เพียงนิดเจ้าค่ะ แม้ว่าฉินเฟิงจะไม่เคยออกรบสังหารศัตรู ทว่าบทกวี ‘ออกด่าน’ บทนี้นับเป็นสิ่งที่เชิดชูเกียรติให้กับตระกูลฉินของเรา”
กล่าวจบหลิ่วหงเหยียนก็ท่องบทกวีออกมาอย่างสง่างาม
“ดวงจันทร์ส่องท้องนภาสง่าเด่น ฉินฮั่นเป็นเขตฐานทหารกล้า
ขุนพลแกร่งยังหยัดอยู่คู่ศรัทธา ไม่ปล่อยให้ม้าซยงหนูข้ามยินชาน!”
ฉินเทียนหู่ที่เดิมเดือดดาลราวไฟสุมทรวง เมื่อได้ยินประโยคที่หลิ่วหงเหยียนท่องออกมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันที เขาค่อย ๆ หันกลับมามองบุตรสาวคนรองอย่างไม่อาจเชื่อ
“หากขุนพลแกร่งยังคงอยู่ ไม่มีวันให้ม้าชาวซยงหนูข้ามยินชาน? ช่างทรงพลังนัก นี่… บทกวีนี้เขียนโดยฉินเฟิงหรือ? เกรงว่า แม้แต่ปรมาจารย์ชื่อดังในเมืองหลวงก็ยังเขียนมิได้?”
หลิ่วหงเหยียนหัวเราะเบา ๆ “บุตรสาวได้เห็นด้วยตาและได้ยินด้วยหู แล้วจะไม่จริงได้อย่างไรเจ้าคะ? คราแรกข้าก็คิดว่าเป็นสมบัติที่ฉินเฟิงซื้อมาด้วยเงิน แต่หลังจากคิดดูอย่างที่ถ้วน หากผู้อื่นแต่งกวีบทนี้ขึ้นได้ เขาจะหักใจขายให้ฉินเฟิงหรือเจ้าคะ? เพราะถ้าป่าวประกาศว่าตนเองเป็นคนประพันธ์ เกรงว่า คงจะกลายเป็นผู้เลื่องชื่อไปทั่วแคว้นต้าเหลียงอย่างแน่นอน”
คำกล่าวนี้เป็นความจริง หากมีฝีมือประพันธ์บทกวีที่ยอดเยี่ยมได้ขนาดนั้น จะยอมขายให้ฉินเฟิงได้อย่างไร?
ฉินเทียนหู่ใคร่ครวญอยู่ในใจแล้วมองไปที่บุตรชาย แม้ใบหน้าจะยังคงไม่น่ามองนัก ทว่าความโกรธก็ลดลงไปไม่น้อย “ฮึ่ม! ลูกเนรคุณ”
จริง ๆ ต้าเหลียงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องขจัดอุปสรรคทั้งมวลและโจมตีเป่ยตี๋เพื่อปลอบขวัญชายแดนทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอำนาจที่นำโดยกรมคลังกลับพยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง การแย่งชิงระหว่างขั้วอำนาจในราชสำนักนั้นยากจะเยียวยา
แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่สามารถตัดสินใจได้
ฉินเฟิงซึ่งซ่อนอยู่ตรงประตูอดตระหนักในใจไม่ได้ การที่หลี่รุ่ยยอมเอาเลือดเนื้อตนเองเข้ามาเสี่ยงอย่างไม่ลังเลเพื่อสังหารเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทในราชสำนักเป็นแน่
เมื่อฉินเฟิงตาย ตามกฎแล้วฉินเทียนหู่จะต้องไว้ทุกข์ที่จวน และกลับไปที่ราชสำนักไม่ได้อย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ตามความทรงจำในร่างเก่า ต้าเหลียงดูเหมือนจะแข็งแกร่ง ทว่าในความเป็นจริงกลับกำลังทุกข์ทรมานจากปัญหาทั้งภายในและภายนอก
หากไม่สามารถจัดการเรื่องเป่ยตี๋ได้อย่างเหมาะสม เกรงว่าคานที่คอยค้ำยันทั้งหมดจะพังทลายลงมา
ฉินเฟิงยังต้องการหาเงินและกลายเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในต้าเหลียง นายน้อยเจ้าสำราญอยากมีอนุมากกว่าร้อยคน และใช้ชีวิตแบบ ‘กิน เที่ยว รอวันตาย’ ไปตลอด เช่นนั้น เขาจะปล่อยให้ต้าเหลียงยุ่งเหยิงได้อย่างไร?
เมื่อเห็นฉินเทียนหู่คลึงหน้าผากและขมวดคิ้ว ฉินเฟิงที่อยู่ที่ประตูก็เผยใบหน้าประดับร้อยยิ้ม
“ท่านพ่อ ในความคิดของข้า เราไม่จำเป็นต้องสนใจพวกอวดดีในกรมคลังนั่น วัน ๆ พวกเขาเอาแต่เล่นพรรคเล่นพวก และแย่งชิงทรัพยากรของราชสำนัก ช่างไร้ประโยชน์! รายงานฮ่องเต้ให้ทุบตีพวกมันให้หนักก็เป็นใช้ได้!”
“ส่วนเป่ยตี๋ พวกมันมีทหารม้าเก่งนักหรือ? เช่นนั้นก็จัดการทหารม้าให้หมด ข้าจะรอดูว่ามันจะเก่งได้สักแค่ไหน!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ฉินเทียนหู่ก็เบิกตาด้วยความโกรธ และหยิบแส้ขึ้นมาอีกครั้ง “ไอ้ลูกสารเลว เจ้าจะรู้อะไร! การพูดนั้นง่ายกว่าการลงมือทำ หากแก้ปัญหาได้ง่ายดายเพียงนั้น พ่อของเจ้าจะมานั่งครุ่นคิดพิจารณาอยู่อย่างนี้หรือ?”
“ถ้ายังกล้าพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะตีเจ้าให้หน้าแหก!”
[1] ทาฝ่าเท้าด้วยน้ำมัน : เปรียบเปรยถึงการออกจากที่ใดที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ