บทที่ 12 สมกับเป็นลูกข้า
เดิมทีแม้ต้าเหลียงจะก่อตั้งโดยกองกำลังทหาร แต่ปัญหาทางภูมิศาสตร์ทำให้การเลี้ยงม้าศึกในปริมาณมากเป็นไปได้ยาก พวกเขาจึงมีทหารม้าน้อยเสียจนน่าเวทนา และมีทหารราบเป็นกองกำลังหลัก
หากกองทหารม้ากับกองทหารราบเผชิญหน้ากัน โดยไม่พึ่งพาความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ หรือการใช้กลยุทธ์ป้องกันเมือง อาจกล่าวได้ว่า การเผชิญหน้ากับกองทหารม้าไม่ต่างอะไรจากการเผชิญกับการถูกสังหารหมู่
ต้าเหลียงและเป่ยตี๋ทำสงครามกันมานานหลายทศวรรษ และส่วนใหญ่เป็นต้าเหลียงที่เสียเปรียบ ทหารชายแดนต่างก็สูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ไปนานแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะกองทหารม้าเป่ยตี๋ตัวต่อตัว เกรงว่าต่อให้กองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน พวกเขาคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยิน
เมื่อเห็นฉินเทียนหู่หยิบแส้ ฉินเฟิงก็กระโดดออกไปไกล เขายืนอยู่ในสวนพร้อมจะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดทุกเมื่อ ทว่าปากกลับปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
“ทหารต้าเหลียงไม่ได้มีเพียงกองทัพชายแดน ทุกเมืองล้วนมีทหารกองหนุนจำนวนมาก ในเมื่อกองทัพชายแดนหมดกำลังใจ เช่นนั้นก็ส่งกองทหารที่กล้าหาญไปแทนสิขอรับ”
“ไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะกองทหารม้าเป่ยตี๋ตัวต่อตัว ตราบใดที่กองทหารม้าของศัตรูบุกเข้ามา ขอเพียงยืนหยัดไม่แตกพ่ายเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ใช้พลธนูมาแทนทหารราบทั่วไป และปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ สร้างหน้าไม้ ใช้พลธนูห้าพันคนต่อกองทัพทั้งหมด ให้ทหารสองแถวแรกใช้หน้าไม้เพื่อสังหารระยะไกล ทหารม้าคนใดเข้ามาในระยะแปดร้อยก้าวจะต้องเผชิญกับห่าฝนหน้าไม้”
“พอกองทหารม้าของข้าศึกพุ่งเข้าใกล้เราสามร้อยก้าว ก็ให้แถวที่สาม สี่ และห้าของพลธนูระดมยิงอย่างต่อเนื่อง นี่ไม่เพียงแต่ช่วยทำลายกำลังของข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถก่อกวนขบวนรบที่บุกเข้ามา และทำให้ความสามารถของทหารม้าระลอกแรกอ่อนลงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อีกด้วย”
“ด้านหน้าขบวนพลธนูมีทหารราบคอยต่อสู้สามแถว แถวแรกถือโล่หนัก แถวที่สองตั้งหอก และแถวที่สามตั้งหอกสั้น หากทหารม้าปีศาจพวกนั้นสามารถฝ่ากระบวนหอกไปได้ ข้าจะยอมยืนกลับหัวให้!”
“อะแฮ่ม เอาเป็นว่า ข้าไม่เชื่อว่าทหารม้าจะบินข้ามหัวพวกเขาได้”
“ปัญหาของขบวนรบนี้ ปีกทั้งสองข้างจะมีการป้องกันอ่อนแอ ดังนั้นเราจำเป็นต้องปกป้องปีกทั้งสองจึงจะสามารถกำราบทหารม้าของเป่ยตี๋ได้”
“เราแค่ต้องเสริมกองกำลังปีกทั้งสองข้าง โดยใช้อาวุธยาวเป็นหลัก เช่น ง้าว ดาบโค้ง มีด และใช้อาวุธสั้นเข้าเสริม ทั้งหมดนี้จะช่วยแก้ไขจุดอ่อนของปีกทั้งสองได้”
“ทหารม้าสุนัขผายลมอันใด ถ้าพวกมันกล้าเข้ามา รับรองว่าจะต้องไม่มีลมหายใจกลับไปแน่ กองทัพทั้งหมดจะต้องถูกกวาดล้าง!”
“หากอยากใช้กลยุทธ์การรบแบบกองโจร โดยใช้กองกำลังเล็ก ๆ เข้าก่อกวนก็ย่อมได้ หน้าไม้และธนูยาวแข็งแกร่งสามารถสังหารทหารม้าผู้เก่งกาจของศัตรูที่อยู่นอกระยะได้ไม่ยาก”
“พลธนูต้าเหลียงของเรายืนอยู่บนพื้น จะยิงได้ไม่แม่นยำเท่าผู้ที่อยู่บนหลังม้าเชียวหรือ?”
“หากกองทหารม้าข้าศึกเคลื่อนมาล้อมรอบกองกำลังดาบยาวที่ปีกทั้งสองข้างของขบวนทัพใหญ่ก็ยังสามารถเคลื่อนพลไปป้องกัน และกลับมาตั้งรับได้ทันเวลาอีกด้วย”
ฉินเฟิงร่ายยาวเหยียดด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ เขาดูหนังเกี่ยวกับทหารมาก็เยอะ เห็นคนอื่น ๆ คุยโวเกี่ยวกับการจัดทัพบนอินเทอร์เน็ตก็แยะ ทั้งยังเคยเล่นเกมสงครามสามก๊กหลายเวอร์ชันอีก เช่นนั้น ความคิดของเขาจะสู้คนเถื่อนกระจอก ๆ สองสามเผ่าไม่ได้เชียวหรือ?
เมื่อฉินเทียนหู่เห็นฝีปากของฉินเฟิง ก็ยิ่งเผยสีหน้าดูแคลนออกมามากขึ้น เขาตั้งใจจะด่าไอ้เด็กเหลือขอที่ยืนพูดไร้สาระนี่ให้ไสหัวออกไปซะ
แต่แล้วดวงตาของเสนาบดีกรมกลาโหมก็ต้องค่อย ๆ เบิกกว้าง
สิ่งที่ฉินเฟิงพูดเมื่อครู่ราวกับการพูดไร้สาระ ไม่ต่างอะไรกับกองทัพที่ถกเถียงกันบนกระดาษ แต่หากพิจารณาให้ถี่ถ้วน การเตรียมการทางทหารด้วยยุทธวิธีนี้สมบูรณ์แบบมาก!
หากสามารถจัดระเบียบใหม่ และใช้ประโยชน์จากมันได้ มันจะเป็นชุดกลยุทธ์สงครามที่สมบูรณ์ กล่าวได้ว่า ไร้พ่ายในการต่อกรกับทหารม้า!
น่าเสียดายที่กลยุทธ์ของฉินเฟิงมีช่องโหว่ร้ายแรง คือพวกเขาสามารถสร้างขบวนรบเพื่อต้านทานเท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้บุกโจมตีเพื่อชัยชนะได้
ท้ายที่สุดทหารม้าก็ยังเป็นจุดอ่อนของต้าเหลียงตลอดไป
ทหารม้าเป่ยตี๋หล่อเลี้ยงสงครามด้วยสงคราม*[1]
ขอแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลับไปเพราะบุกเข้ามาไม่ได้ ก็เท่ากับได้รับชัยชนะแล้ว
ดังนั้นกลยุทธ์นี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง!
ฉินเฟิงจับกิ่งไม้ระหว่างนิ้วกลางและนิ้วชี้ เขย่ามันแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เสร็จแล้ว”
หลิ่วหงเหยียนอดไม่ได้ที่จะกรอกตาใส่เขา “เจ้าประพันธ์บทกวีได้สละสลวย แต่ภาพวาดของเจ้า นี่มันช่าง… น่าอายจริง ๆ”
ฉินเฟิงยักไหล่อย่างไม่เห็นด้วย “อัปลักษณ์แล้วอย่างไรเล่า? ดูเข้าใจก็พอ”
ฉินเทียนหู่จ้องมองภาพที่วาดขึ้นประกอบความเข้าใจ เขาคิดอยู่ครึ่งวัน จากนั้นก็ค่อย ๆ หันศีรษะไปมองฉินเฟิง “เจ้ารู้จักสองสิ่งนี้ได้อย่างไร”
เขาจะอธิบายอย่างไรดี? หรือจะบอกว่าเรียนรู้จากบันทึกทางทหาร? ฉินเทียนหู่ต้องหาว่าสมองเขาพิการ และเตะเขากระเด็นอย่างแน่นอน
ดังนั้น ฉินเฟิงจึงแสดงจิตวิญญาณแห่งการลอกเลียนแบบอย่างไร้ยางอาย เขาพูดออกมาโดยไม่หน้าแดงหรือใจเต้นว่า “แน่นอน ข้าคิดค้นมันขึ้นมาเอง เมื่อก่อนข้าไม่มีอะไรทำจึงคิดค้นขึ้นมาเล่น ๆ ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่…”
ก่อนฉินเฟิงจะพูดจบเขาก็ถูกฝ่ามือตบเข้าที่หน้าผากเต็มแรง
ดวงตาของฉินเทียนหู่เบิกกว้าง เขาโมโหสุด ๆ “เจ้าลูกล้างผลาญ ในเมื่อเจ้าสร้างอาวุธทั้งสองขึ้นก็น่าจะรีบเอาออกมา พวกมันจะต้องเป็นของดีในกองทัพเป็นแน่ หากเจ้านำออกมาตั้งแต่แรก กองทัพชายแดนของข้าจะเสียเปรียบถึงเพียงนี้รึ?”
หลังจากด่าจบ ฉินเทียนหู่ก็หนีบภาพไว้ใต้รักแร้ เขาเข้าไปในห้องรับรองซึ่งตั้งอยู่ในห้องหนังสือด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
ฉินเฟิงเขย่งปลายเท้าพยายามแอบฟังผ่านรอยแยกของประตู ฉินเทียนหู่จงใจลดเสียงลงแต่ก็ยังข่มความตื่นเต้นในใจไม่ไหว
“สมกับเป็นลูกชายของข้าฉินเทียนหู่ บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข*[2] จริง ๆ หากใช้อาวุธสองชิ้นนี้ร่วมกับกลยุทธ์ทางทหาร เป่ยตี๋ย่อมไม่มีวันกลับมาได้อีก แคว้นต้าเหลียงจงเจริญ!”
[1] หล่อเลี้ยงสงครามด้วยสงคราม : ใช้กำลังคน วัสดุ และทรัพยากรทางการเงินที่ได้รับจากสงครามเพื่อทำสงครามต่อไป
[2] บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข : บิดาที่โดดเด่นย่อมมีบุตรที่ไม่ธรรมดา

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ