บทที่ 1112 องครักษ์เสื้อแพรออกตรวจการยามค่ำคืน
สายลมราตรีพัดผ่านเป็นระยะ ทำให้บรรยากาศในป่าดูน่าอึดอัดยิ่งขึ้น
แม้แต่ซุนไป๋ที่เป็นโจรจรจัด ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อซึมที่ฝ่ามือ
เขากลั้นหายใจ ดวงตาทั้งสองคู่คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวรอบข้างอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ความตึงเครียดของเขาจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
“ตกใจไปเปล่า ๆ”
“ที่นี่อยู่ใกล้อำเภอหมิงมากเกินไป อีกทั้งฉินเฟิงเพิ่งจากไปไม่นาน ระวังไว้ก่อนจึงจะปลอดภัย”
“อย่าเพิ่งนอน ถึงเวรเจ้าเฝ้ายามแล้ว”
ซุนไป๋หันตัวเปิดกระโจม ยกด้ามดาบขึ้นแล้วฟาดลงบนขาของอู๋เอ้อร์ลูกน้องของเขาทันที
อู๋เอ้อร์สะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บ ขยี้ตาที่ยังง่วงงุน ถามอย่างสงสัย “พี่ซุน มีอะไรหรือ?”
ซุนไป๋ขมวดคิ้วแน่น พูดเสียงเข้ม “นอนเหมือนหมู ถึงถูกฆ่าก็คงไม่รู้ตัว”
“ต่อไปตอนกลางคืน แต่ละคนต้องเฝ้ายามสองชั่วยาม ป้องกันไม่ให้องครักษ์เสื้อแพรแอบเข้ามา”
อู๋เอ้อร์ที่เมื่อครู่ยังดูเซื่องซึม พอได้ยินคำว่า ‘องครักษ์เสื้อแพร’ ก็สะดุ้งตื่นเต็มที่ “อะไรนะ? องครักษ์เสื้อแพรมาแล้วหรือ?”
ซุนไป๋ต่อยเข้าที่อกของอู๋เอ้อร์ทันที พูดด้วยสีหน้าโมโห “ตะโกนบ้าอะไร! ยังไม่มาก็จะเรียกให้มาแล้ว”
“รีบเฝ้าระวังไว้ อย่าจุดไฟ และห้ามส่งเสียงใด ๆ เด็ดขาด แค่นั่งยอง ๆ เฝ้าดูข้างกระโจมก็พอ”
หลังพูดจบ ซุนไป๋ก็ไม่สนใจอู๋เอ้อร์อีก เขาทิ้งตัวลงในกระโจมแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
อู๋เอ้อร์นั่งยอง ๆ ข้าง ๆ มองรอบป่าที่มืดจนยกมือขึ้นแทบมองไม่เห็นนิ้ว หลังของเขาสั่นด้วยความกลัว
เขาไม่ได้กลัวความมืด แต่กลัวองครักษ์เสื้อแพร
ตั้งแต่อู๋เหอลี่จากไป พวกเขาก็ได้พูดถึงชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นเป็นเหมือนมังกรที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง อีกทั้งวิธีการก็โหดเหี้ยมยิ่งนัก หากตกอยู่ในเงื้อมมือขององครักษ์เสื้อแพรคงได้แต่อยากมีชีวิตก็ไม่ได้ อยากตายก็ไม่ได้
การเจอกับองครักษ์เสื้อแพรนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก
ขณะที่อู๋เอ้อร์กำลังภาวนาอ้อนวอนขอให้องครักษ์เสื้อแพรอย่าได้พบเจอตนเองนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากกระโจมข้าง ๆ
แม้ทัศนวิสัยในป่าเขาจะแย่มาก แต่ด้วยสายตาอันดีแต่กำเนิดของอู๋เอ้อร์ เขากลับเห็นเงาดำ ๆ ลอดเข้าไปในกระโจม
อู๋เอ้อร์คิดว่าคงมีคนลุกไปปลดทุกข์ จึงรีบเรียกเบา ๆ “พี่ชาย ไปไหนมา”
“พี่ชาย?”
เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากในกระโจม อู๋เอ้อร์รู้สึกสงสัย จึงคลานเข้าไปแล้วเปิดม่าน ถามเสียงเบา “เมื่อกี้ใครเข้ามา”
ในกระโจมมีคนนอนอยู่สามคน แต่ไม่มีใครตอบอู๋เอ้อร์
บางทีพวกเขาอาจจะหลับสนิทไปแล้ว?
อู๋เอ้อร์ไม่คิดมากอีกต่อไป แต่ขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวเดินจากไป เขากลับได้กลิ่นคาวจาง ๆ ลอยมา
“กลิ่นอะไรกัน?”
อู๋เอ้อร์ขมวดคิ้ว สูดหายใจเข้าแรง ๆ กลิ่นคาวเหม็นพุ่งเข้าจมูกทันที
“พวกเจ้าคนไหนฉี่ในกระโจมกัน?”
“เหม็นจนข้าแทบตาย!”
อู๋เอ้อร์รู้สึกทั้งโมโหและขบขัน ขณะที่กำลังบ่นพลางปล่อยม่านลง เมฆที่ปกคลุมบนท้องฟ้าพอดีสลายตัว แสงจันทร์สีขาวนวลสาดส่องลงมายังพื้นดิน
แสงริบหรี่วูบหนึ่งสะท้อนออกมาจากในกระโจม
รอยยิ้มของอู๋เอ้อร์แข็งค้าง เขาขยี้ตาแรง ๆ รีบเปิดม่านออกทั้งหมด
อาศัยแสงจันทร์อันริบหรี่ มองสำรวจสถานการณ์ในกระโจมอย่างละเอียด เห็นเงาดำ ๆ กำลังย่อตัวอยู่บริเวณศีรษะของพี่น้องทั้งสามคน
เงาดำนั้นใช้มือซ้ายปิดปากและจมูกของพี่น้องคนหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกำมีดสั้นไว้ กำลังเลื่อนไปมาที่ลำคอของพี่น้อง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ