บทที่ 1128 กลับสู่วังหลวงอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมาพระราชวังต้องห้ามที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ก็ยิ่งดูขึงขังและเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีก
ประตูมังกรเขียวที่ไม่เคยเปิดมาตั้งแต่ต้นปี บัดนี้ได้เปิดออกกว้างทหารรักษาพระองค์ยืนเรียงแถวสองแนวขนาบทั้งสองข้างประตูมังกรเขียว ต่อเนื่องไปจนถึงท้องพระโรง
ด้านนอกท้องพระโรงเต็มไปด้วยองครักษ์หลวงส่วนเหล่าขุนนางที่รีบเร่งมาก็เข้าไปยืนเรียงแถวเป็นระเบียบอยู่ในท้องพระโรงแล้ว
ฮ่องเต้ต้าเหลียงประทับบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรออกไปนอกท้องพระโรงอย่างเงียบ ๆ
ทั้งพระราชวังต้องห้ามต่างรอคอยการมาของบุคคลผู้หนึ่ง
ในตอนนั้นเอง เสียงของจางซิวเย่ก็ดังขึ้นก้องไปทั่วท้องพระโรง
“ท่านโหวฉินเฟิงแห่งเทียนลู่ เข้าเฝ้า”
แม้ทั้งท้องพระโรงจะยังคงเงียบสงัด ไร้เสียงตอบรับใด ๆ แต่สายตาของทุกคนต่างตื่นตัว
บุรุษผู้พิชิตเป่ยตี๋ผู้ช่วยให้ต้าเหลียงกลับสู่ความรุ่งเรืองสูงสุด ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!
“เชิญฉินเฟิงเข้าเฝ้า!”
ตามด้วยพระบัญชาของฮ่องเต้ต้าเหลียงเสียงประกาศก้องกังวานไปทั่วพระราชวังต้องห้าม
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่กลางประตูมังกรเขียว ได้ยินเสียงประกาศแล้วก็สูดหายใจลึก ก่อนจะก้าวเดินเข้าไป
ในยามนี้ฉินเฟิงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ หลังจากผ่านไปนานแสนนาน ในที่สุดเขาก็ได้กลับมายังวังหลวงแห่งต้าเหลียงอีกครั้ง
ทุกสิ่งตรงหน้าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เอง
ฉินเฟิงก้าวเดินอย่างมั่นคง มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงทีละก้าว แม้ทหารรักษาพระองค์จะต้องจ้องมองตรงไปข้างหน้า แต่พวกเขากลับจับจ้องไปที่ร่างของฉินเฟิง
เกือบทุกสายตาเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนที่ของฉินเฟิง
เมื่อฉินเฟิงก้าวขึ้นบันได เดินมาถึงหน้าท้องพระโรงแม้แต่พวกองครักษ์หลวงที่มักถือตัวก็ยังหันมาจับจ้องมองฉินเฟิง
ยืนอยู่ที่ประตู ฉินเฟิงมองเห็นฮ่องเต้ต้าเหลียงและเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ที่อยู่ในท้องพระโรงได้อย่างชัดเจน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ขณะยืนอยู่นอกประตู ฉินเฟิงกลับรู้สึกถึง “ความห่างเหิน” บางอย่าง
จนกระทั่งเขาก้าวข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปในท้องพระโรงจึงรู้สึกราวกับได้กลับมาถึงเมืองหลวงอย่างแท้จริง
ฉินเฟิงเดินผ่านกลุ่มขุนนาง มุ่งหน้าไปยังแท่นบัลลังก์อย่างองอาจ เหล่าขุนนางที่ก้มหน้าอยู่ต่างเงยหน้าขึ้นมองตามเงาร่างของฉินเฟิงที่เดินผ่านไป
ฉินเฟิงก้มศีรษะ ยกมือทั้งสองข้างขนานกัน ค่อย ๆ ประสานเข้าหากัน คำนับฮ่องเต้ต้าเหลียงอย่างสง่างาม
“ข้าน้อยฉินเฟิงเพิ่งกลับมาจากเป่ยตี๋ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เมื่อกล่าวจบ ฉินเฟิงก็โค้งคำนับฮ่องเต้ต้าเหลียง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉินเฟิงไม่เคยคุกเข่าให้ฮ่องเต้ต้าเหลียงเลยสักครั้ง หากเป็นในอดีต บางทีอาจมีขุนนางที่คิดว่าฉินเฟิงหยิ่งยโสเกินไป
ในตอนนี้ ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าการกระทำของฉินเฟิงนั้นไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย
เพราะฉินเฟิงได้พิสูจน์ความจงรักภักดีต่อต้าเหลียงด้วยการกระทำแล้ว
ฮ่องเต้ต้าเหลียงถึงกับซ่อนความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ พระองค์จ้องมองฉินเฟิงจนกระทั่งจางซิวเย่ต้องเอ่ยเตือนข้าง ๆ ฮ่องเต้ต้าเหลียงจึงได้สติกลับมาจากความปลาบปลื้ม
“ขุนนางผู้ภักดีฉินเฟิงไม่ต้องมากพิธีไป”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ต้าเหลียงเรียกฉินเฟิงว่า ขุนนางผู้ภักดีฉินเฟิง
ในใจของฮ่องเต้ต้าเหลียงฉินเฟิงได้กลายเป็นขุนนางคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของต้าเหลียง
ฉินเฟิงจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น แม้ว่าในท้องพระโรงจะมีความแตกต่างระหว่างกษัตริย์และขุนนาง แต่เมื่อสายตาของฉินเฟิงและฮ่องเต้ต้าเหลียงสบประสานกัน ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่แตกต่างไปจากความสัมพันธ์แบบกษัตริย์และขุนนาง
ฮ่องเต้ต้าเหลียงมองดูฉินเฟิงด้วยสายตาราวกับมองบุตรของตนเอง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ