บทที่ 126 สิทธิพิเศษเนื่องในโอกาสเปิดกิจการ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงแต่งตั้งบุคคลตามเกณฑ์คุณธรรม แม้ว่าขุนนางกรมคลังจะมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกับพระองค์ แต่พวกเขาก็เป็นขุนนางที่มีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบกับฉินเฟิง พวกเขาด้อยกว่าอย่างไม่ต้องคิด
ปัญหาการขาดแคลนเงิน กวนพระทัยฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมาเป็นเวลาหลายเดือน แต่บัดนี้ก็ได้รับการแก้ไขด้วยการแทรกแซงของฉินเฟิงแล้ว
หากฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมิได้สังเกตเห็นว่าฉินเฟิงไม่สนใจเส้นทางขุนนางเลยแม้แต่น้อย เขาคงส่งชายหนุ่มไปอยู่ในกรมคลัง เพื่อหาประสบการณ์ และปูทางให้เป็นเสนาบดีกรมคลังในอนาคตแล้ว
ฉินเฟิงเป็นอัจฉริยะโดยแท้ แต่กลับอยากรวยเพียงอย่างเดียว ไม่รู้จะบอกว่า นายน้อยฉินเป็นพวกพอใจกับอะไรง่าย ๆ หรือไม่อยากก้าวหน้ากันแน่
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยิ้มอย่างขมขื่น ผลักสมุดบัญชีของจวนฉินไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ “เอากลับไปคืนได้ และอย่าให้คนในจวนตระกูลฉินสังเกตเห็น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความระแวงซึ่งกันและกัน แล้วก็…”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงคิดอะไรบางอย่างได้ พระองค์หยิบกระดาษคล้ายบัตรเชิญจากข้างโต๊ะแล้วยื่นให้หลี่จ้าน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังพลางตรัสว่า “ส่งไปที่กรมพิธีการ พิมพ์หนึ่งหมื่นฉบับตามต้นฉบับนี้ แจกจ่ายให้กับกิจการร้านค้าในเมืองหลวงก่อน แล้วค่อยแจกจ่ายลงไปตามสถานที่ต่าง ๆ และจะต้องกระจายข่าวครอบคลุมไปทั้งอาณาเขตต้าเหลียงให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน หากไม่แล้วเสร็จ เจิ้นจะลงโทษฐานละเลยหน้าที่”
เนื่องจากเป็นสิ่งพิมพ์ต้นฉบับนั่นจึงไม่เป็นความลับ หลี่จ้านตรวจสอบทันที และพบว่าเป็นสัญญา
แม้ว่าเนื้อหาจะไม่น่าตกใจเท่าไหร่ และใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่หลี่จ้านก็แอบประหลาดใจ เมื่อพบว่าฝ่าบาทจะยืมเงินจากสามัญชน อย่างน้อยก็ไม่มีแบบอย่างมาก่อนในราชวงศ์นี้
“กระหม่อมขอทูลถามฝ่าบาท หรือกลยุทธ์ทางการเงินที่ตระกูลฉินและลูกชายของเขามอบให้ก็คือการยืมเงินจากสามัญชนพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่ากระหม่อมจะได้ยินมาว่าฮ่องเต้ในราชวงศ์ก่อนหน้าเคยยืมเงินจากราษฎรเพื่อรับมือกับวิกฤต แต่เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในราชวงศ์นี้ เราจะทำอย่างไรหากเรื่องนี้ทำให้ใจประชาชนสั่นไหวพ่ะย่ะค่ะ”
ราวกับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงคาดไว้แล้วว่าหลี่จ้านจะถามคำถามเช่นนี้ จึงตอบกลับไปสั้น ๆ ว่า “นี่ไม่ใช่เงินกู้ แต่… เป็น ‘พันธบัตรแคว้น’ ”
หลี่จ้านตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ขอถามฝ่าบาท ทั้งสองนี้ต่างกันอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมาดมั่น ดูเหมือนว่าจะพอใจกับคำว่า ‘พันธบัตรแคว้น’ นี้มาก “สิ่งที่เรียกว่าพันธบัตรแคว้นนั้น ส่วนมากยืมมาจากพ่อค้าในนามของต้าเหลียง แบ่งชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ส่วนดอกเบี้ยนี้สูงกว่าดอกเบี้ยของโรงแลกเงิน แต่น้อยกว่าภาคเอกชน”
ในที่สุดหลี่จ้านก็เข้าใจ ขันทีชราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น “นี่เทียบเท่ากับการให้พวกพ่อค้าจากทั่วแคว้นออกทุนในการทำศึก จากนั้นหลังสงครามสิ้นสุดลงก็ให้พระคลังทยายจ่ายคืน กระจายแรงกดดันทางการเงินจากหนึ่งปีไปเป็นหลายปีหรือกว่าสิบปี ชื่อเสียงของต้าเหลียงย่อมไม่ใช่สิ่งที่โรงแลกเงินจะสามารถเทียบได้ พวกพ่อค้าที่ชื่นชอบการลงทุนย่อมสนใจพันธบัตรแคว้นอย่างมากเป็นแน่ อย่างนั้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฉินเฟิงคนนี้ สมองของเขาทำมาจากอะไรกันแน่? เขามีความคิดที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกับหลี่จ้านมองหน้ากันแล้วยิ้ม อันที่จริงพวกเขาทั้งสองรู้อยู่แก่ใจว่า ‘พันธบัตรแคว้น’ เป็นสิ่งที่ฉินเฟิงคิดขึ้นมา ฉินเทียนหู่แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนซื่อตรงไม่มีทางที่เขาจะมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้ได้
ฉินเฟิงไม่ได้นอนมาทั้งคืน เขาเลือกคนรับใช้ที่ไว้ใจได้สองสามคนด้วยตนเอง แล้วสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูเป็นผู้นำในการขนน้ำอ้อยสดคั้นแล้วเข้าไปในโกดังที่เตรียมเอาไว้ จากนั้นก็กำกับดูแลการทำงานจนถึงรุ่งสาง ถึงได้ต้มน้ำอ้อยจนกลายเป็นน้ำตาลอ้อยได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเน่าเปื่อยอีก ในภายภาคหน้า ไม่ว่าจะทำเกล็ดน้ำตาล หรือกลั่นน้ำตาลทรายขาวก็ไม่ต้องรีบร้อน
ยามที่นายน้อยฉินออกจากโกดัง ฟ้าก็สว่างมากแล้ว
ฉินเฟิงที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจนึกขึ้นได้ว่าหอสุราจะเปิดในวันนี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เขาไม่แม้แต่จะกลับไปพักผ่อน แต่เปลี่ยนเส้นทางไปยังหอสุราธารหยกทันที


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ