บทที่ 153 ศัตรูล้าข้าบุก
เนื่องจากสนามประลองตอนนี้วุ่นวายเกินไป กองพันเคลื่อนที่จึงกระจัดกระจายเข้าไปอยู่ในเขตแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากองพลธนูของหนิงหู่จะมีจำนวนพลมาก แต่เพื่อป้องกันการโจมตีผิด การเล็งไปยังเป้าหมายจึงยากขึ้นทำให้ประสิทธิภาพในการรบถูกจำกัด
กองพันทหารม้าซึ่งประสบความสูญเสียอย่างหนักของหนิงหู่ก็ทำได้เพียงรีบรุดไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามกองพันเคลื่อนที่ของสวีโม่ น่าเสียดาย การที่ทหารม้าเกราะหนักจะไล่ล่าทหารม้าเกราะเบานั้นเป็นเรื่องยากเกินจินตนาการ
และกองพันเคลื่อนที่ต่างก็เป็น ‘พลธนูม้า’ พวกเขาหนีไปพลางยกธนูยิง หลังจากไล่ตามกันไปมา ทหารม้าของหนิงหู่ก็ประสบความสูญเสียอย่างหนัก ตอนนี้จึงเหลือทหารม้าอยู่เพียงไม่กี่สิบนายเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ากองพันทหารม้าและกองพันทหารราบเกราะเบาของกองทัพหนิงหู่ถูกกองพันเคลื่อนที่รังควานจนกระบวนทัพยุ่งเหยิง คิ้วของฉินเฟิงที่ก่อนหน้านี้ขมวดเป็นปมก็ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์
ชายหนุ่มไม่ลังเลอีกต่อไป เขาโบกธงทันที!
หลังจากได้รับคำสั่ง กองพันเพลิงก็วางคันธนูกับลูกธนูไว้บนหลัง ทิ้งดาบด้ามยาว และชักดาบข้างเอวออกมา พลธนูราบเปลี่ยนเป็นพลทหารราบ ขนาบข้างปีกทั้งสองฝั่งราวกับดาบที่คมกริบ บุกทะลุทะลวงเข้าไปในกองพลธนูฝ่ายหนิงหู่โดยตรง
เนื่องจากพระคลังของต้าเหลียงว่างเปล่า บทบาทของพลธนูจึงแทบจะเป็นเพียงพลธนูทั่วไปเท่านั้น เป็นเรื่องยากที่จะติดตั้งอาวุธครบครันให้พลธนูแบบคนรวยอย่างฉินเฟิง
ความแตกต่างระหว่างพลธนูในกองทัพของหนิงหู่ดับพลธนูของสวีโม่นั้นมากกว่าความแตกต่างระหว่างทหารราบเกราะหนักและทหารราบเกราะเบาเสียอีก
เมื่อเผชิญหน้ากับกองพันเพลิงอย่างกะทันหัน กองพลธนูที่มีข้อได้เปรียบด้านจำนวนพล แทบไม่สามารถต่อต้านอย่างมีประสิทธิภาพได้เลย นี่เกือบจะเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียวแล้ว
กองพันทหารราบเกราะเบาพยายามจะไปช่วยเสริมกำลังอยู่หลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ถูกกองพันเคลื่อนที่เข้าไปพัวพันจนไม่สามารถปลีกตัวได้เลย
เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา กองพลธนูของหนิงหู่ก็ถูกกวาดล้างไปแล้ว!
หนิงหู่กำลังโรมรันอยู่กลางกระบวนทัพ เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์นี้
ฉินเฟิงยืนอยู่บนกำแพงเมือง ควบคุมสถานการณ์ของสนามรบได้อย่างสมบูรณ์ พริบตาที่ทำลายล้างกองพลธนูของศัตรูได้ ฉินเฟิงก็ออกคำสั่งต่อไปทันที
กองพันเพลิงขว้างดาบของพวกเขาทิ้ง หยิบธนูและลูกศรออกมา และใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของพลธนูอย่างแท้จริง
แนวหน้าถูกกองพันเคลื่อนที่ก่อกวน ด้านหลังมีกองพันเพลิงโจมตีอย่างไม่เลือกหน้า กองพันทหารราบเกราะเบาของกองทัพหนิงหู่ค่อย ๆ แตกพ่ายไปในที่สุด
ทหารม้าเกราะหนักที่เหลืออยู่หลายสิบนายของกองทัพหนิงหู่ บุกโจมตีแบบพร้อมพลีชีพ
ทว่าเนื่องจากข้อจำกัดของสถานที่ประลอง ทำให้ม้าไม่สามารถพุ่งทะยานได้เร็วนัก จึงเป็นการยากที่จะสร้างพลังโจมตีที่รุนแรง ท้ายที่สุดจึงกลับเป็นฝ่ายถูกล้อมรอบด้วยกองพันเพลิง บ้างก็ถูกธนูยิง บ้างก็ถูกดึงลงจากหลังม้า การต่อสู้ยามนี้ดุเดือดเป็นอย่างมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้กองทัพหนิงหู่ก็เหลือเพียงกองพันทหารราบเกราะหนักเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน กองพันหุ้มเกราะของกองทัพสวีโม่ก็เกือบจะไม่เหลือแล้ว เหลืออยู่เพียงแปดคนที่นำโดยสวีโม่ พวกเขากำลังรวมตัวกัน และต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากลำบาก
กองทัพของหนิงหู่มีข้อได้เปรียบเชิงจำนวนพลอยู่ เมื่อเทียบกันแล้ว เขายังมีคนเหลืออยู่มากกว่าหนึ่งร้อย
การเผชิญหน้ากับกองกำลังศัตรูที่มีมากกว่าสิบเท่าทำให้ขมับของสวีโม่ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “เราบรรลุเป้าหมายทางยุทธวิธีของเราแล้ว แม้ตายก็ไม่เสียใจ!”
“ฆ่าได้หนึ่งก็ยังดี ฆ่าได้สองก็ยิ่งดี พี่น้องทุกคน สู้!”
ภายใต้กานนำของสวีโม่ ทหารที่เหลืออีกแปดนายไม่กลัวความตาย สู้แลกชีวิตกับฝ่ายตรงข้าม สังหารไปได้อีกสามถึงสี่คนก่อนที่จะถูกกองทัพหนิงหู่ล้อม
สวีโม่ถูกโจมตีเข้าที่หน้าอกจนแทบจะหายใจไม่ออก ชายหนุ่มกำด้ามขวานไว้แน่น คุกเข่าข้างหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ จับจ้องไปที่หนิงหู่ พลางพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สมกับเป็นท่านโหวน้อย ทักษะศิลปะการต่อสู้ยอดเยี่ยม บุตรหลานในเมืองหลวง ไม่มีใครเก่งไปกว่าท่านได้!”
แม้ว่าหนิงหู่จะชนะ แต่เขาก็ไม่มีท่าทีหยิ่งยโส ในทางกลับกันเขามองสวีโม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยประกายความตื่นเต้นปนเห็นใจ “ศัตรูมีมากกว่า แต่ยังสามารถอดทนได้นานขนาดนี้ สวีโม่เจ้าก็เป็นวีรบุรุษเช่นกัน… แต่ผลการรบเป็นที่ประจักษ์แล้ว”
มุมปากของสวีโม่ยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเวทนา “ไม่ผิด ทุกอย่างเป็นไปตามที่พี่ฉินคาดไว้ ในแง่การรบเจ้าชนะ แต่ในทางกลยุทธ์เจ้าแพ้แล้ว… ครั้งนี้ พี่ฉินยอมเสียสละกองพันหุ้มเกราะ แลกกับชัยชนะทางกลยุทธ์”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ