บทที่ 156 ยอมรับจากใจ
หลินฉวีฉีขยิบตาส่งสัญญาณให้ฉินเฟิงปฏิเสธ เพื่อไม่ให้หนิงหู่นำเรื่องไปฟ้องร้องที่ศาลต้าหลี่
ทว่าฉินเฟิงกลับไม่สนใจเขา แต่ก้มลงไปประจันหน้ากับหนิงหู่ แล้วเผยรอยยิ้มที่ทำให้คนหวาดกลัว “ท่านพูดถูกแล้ว ข้าอาศัยอำนาจแก้แค้นเรื่องส่วนตัว! ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นทหารลาดตระเวนหรืออะไรก็ตาม อย่างไรเจ้าก็ห้ามทำร้ายคนของข้า! ทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหล่านั้น ถ้าสามารถฟื้นตัวได้ปกติก็ถือว่าแล้วกันไป แต่ถ้าพวกเขามีอาการข้างเคียงหลังการบาดเจ็บ หรือต้องตายไป ท่านต้องเลี้ยงดูครอบครัวพวกเขาไปตลอดชีวิต ไม่เช่นนั้นเราจะได้เห็นดีกัน!”
แม้ว่าหนิงหู่จะโกรธเคือง แต่เขาชื่นชมอย่างมากกับนิสัยฉินเฟิงที่พร้อมปกป้องคนของตัว
คราวนี้หนิงหู่ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่จ้องไปที่ฉินเฟิงอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉินเฟิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หวาย หยิบอ้อยที่เตรียมไว้ออกมาจากด้านหลัง เริ่มแทะมันอย่างเอร็ดอร่อย และเอ่ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอนว่านอกเหนือจากการอาศัยอำนาจแก้แค้นเรื่องส่วนตัวแล้ว ข้ายังต้องการให้ท่านเข้าใจเรื่องหนึ่ง…ไม่ว่าท่านจะกล้าหาญเพียงใด สูงส่งแค่ไหน พอไปสนามรบ ท่านก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป! ต้องตกเป็นเชลยแทบเท้า ไม่ต่างจากปลาบนเขียง และทำได้เพียงรอถูกคนเชือด”
“แม้แต่ลูกตุ้มเล็กคู่นั้นก็ยังเอามาใช้ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างการแข่งในวันนี้กับสนามรบที่แท้จริงคืออาวุธที่ไม่ได้ลับคม… ถ้าอยู่ในสนามรบจริง ๆ ไม่เพียงแต่ท่านที่ตาย แต่ทหารเบื้องหลังก็ต้องตายเช่นกัน ต้าเหลียงจะประสบความสูญเสียอย่างหนัก เนื่องจากความพ่ายแพ้ของท่าน การตัดสินใจของท่านส่งผลต่อความมั่นคงของแผ่นดิน!”
“ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาตะโกนใส่ข้า”
แม้ว่าหนิงหู่จะอารมณ์ร้าย แต่เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะทำอะไรโดยประมาท ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่ฉินเฟิงพูดดี ดังนั้นเขาจึงกัดฟันแน่น และไม่ได้เอ่ยปฏิเสธแต่อย่างใด
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของฉินเฟิงก็ฉายประกายความผิดหวัง “เดิมทีข้าวางแผนที่จะแนะนำให้เจ้า ออกทัพไปเป่ยตี๋ด้วยกัน แต่ข้าพิสูจน์แล้วว่าเจ้ามันไร้คุณสมบัติ”
การเดินทางไปเป่ยตี๋มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหนิงหู่ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับความรุ่งโรจน์และความเสื่อมโทรมของตระกูลหนิงอีกด้วย
หนิงหู่รู้ดีว่าถ้าเขาแพ้การประลองครั้งนี้ เขาคงจะเสียโอกาสไปเป่ยตี๋ นอกจากนี้ฉินเฟิงยังเป็นคนโปรดของฝ่าบาท แค่ฉินเฟิงพูดอะไรสักคำ เขาอาจจะไร้วาสนาในการไปเป่ยตี๋เลยก็ได้…
หนิงหู่ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ และไม่สนใจศักดิ์ศรีที่น่าเวทนาของตนอีก เพื่อตระกูลของเขา ท่านโหวหนุ่มจึงเอ่ยแย้งเสียงดัง “แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของสงคราม มีผู้ชนะและผู้แพ้ในสนามรบ ไม่ต้องเอ่ยถึงการประลอง ข้าแพ้แค่รอบเดียวเจ้าก็บอกว่าข้าไร้คุณสมบัติแล้ว ข้าไม่ยอมรับ!”
ฉินเฟิงคาดไว้แล้วว่าหนิงหู่จะพูดเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน “ในสนามรบ แพ้ครั้งหนึ่งเจ้าก็ตายแล้ว นอกจากนี้ ความสามารถทางทหารของเจ้าไม่ผ่านมาตรฐานเลย เพราะเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองแพ้ได้อย่างไร”
ทันทีที่สิ้นประโยค หนิงหู่ก็โต้แย้งเสียงดังอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว “โอ้ เช่นนั้นก็ลองพูดมาสิ”
ดวงตาของหนิงหู่เคร่งขรึม หวนนึกถึงการประลองก่อนหน้านี้ ขณะที่แอบชื่นชมความสามารถในการบัญชาการของฉินเฟิง ก็วิเคราะห์อย่างใจเย็น “มีจุดพลิกผันของการแพ้ชนะสามประการ! ประการแรก กองทัพข้าไม่อาจบุกเข้าไปชิงตำแหน่งที่ได้เปรียบได้ในทันที ทำให้กองทัพของสวี่โม่ยึดครองศูนย์กลางได้ ประการที่สอง ข้าล้มเหลวในการโจมตีกระบวนทัพกองกลางของสวี่โม่ ประการที่สาม ข้าสูญเสียกำลังพลมากเกินไปในการจัดการกับกองทัพของสวีโม่ ล้มเหลวในการรับมือกับกองพันเคลื่อนที่และพลธนูราบ”
ฉินเฟิงแทะอ้อย ไม่สนใจการวิเคราะห์ของหนิงหู่แม้แต่น้อย “สิ่งที่ท่านพูดเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าถามถึงปัจจัยชี้ขาดต่างหาก”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของหนิงหู่ก็เต็มไปด้วยประกายความสับสน “ปัจจัยชี้ขาดหรือ?”
ฉินเฟิงยักไหล่ มองดวงตาของหนิงหู่อย่างไร้ความคาดหวัง “ข้าถึงได้บอกไงว่า ความสามารถของเจ้าไม่ผ่าน ไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาได้เลย! มีเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นที่สามารถกำหนดทิศทางของการประลองนี้ได้อย่างแท้จริง นั่นก็คือการสื่อสาร!”
หนิงหู่ขมวดคิ้วลึกขึ้น และเขาเข้าใจคำพูดของฉินเฟิงเพียงบางส่วนเท่านั้น “การสื่อสาร? เจ้าหมายถึงอะไร”
ฉินเฟิงยิ้มเบา ๆ และอธิบายอย่างอดทน “สิ่งที่เรียกว่าการสื่อสาร โดยธรรมชาติหมายถึงการส่งคำสั่ง ระหว่างการประลองทั้งหมด ข้าสามารถเข้าใจสถานการณ์โดยรวมได้ตลอดเวลา และอาศัยธงในการถ่ายทอดคำสั่งอย่างถูกต้อง ตัดปัญหาเรื่องความล่าช้าในการออกคำสั่ง และการปฏิบัติตาม”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ