บทที่ 169 ร่วมใจปกป้องแคว้นจากวิกฤต
อาวุธส่วนใหญ่ที่อยู่ในค่ายเป็นอาวุธฝึกฝน ไม่สามารถใช้ในการสู้รบจริงได้
นอกจากนี้กลุ่มกบฏยังสวมชุดเกราะหนัก อาวุธธรรมดาก็สร้างความเสียหายให้พวกเขาได้ยาก ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนอาวุธใหม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้
ในขณะที่ทหารองครักษ์กำลังเปลี่ยนอาวุธ ฉินเฟิงหันกลับไปมองผู้เข้ารับการคัดเลือกแม่ทัพที่ตกอยู่ในความวุ่นวาย คารมหมาหยอกไก่แบบเก่าของเขาหายไป ถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมหาใดเปรียบ นายน้อยฉินตะโกนลั่น “หุบปากให้หมด!”
แม่ทัพผู้เข้ารับการคัดเลือกเหล่านี้ไม่มีประสบการณ์ในสนามรบแม้แต่น้อย เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็กลายเป็นมดบนกระทะร้อน ตื่นตระหนกอย่างน่าสังเวช พวกเขาพยายามดิ้นรนเข้าไปในค่ายใหญ่เพื่อหาโอกาสเอาชีวิตรอด ไม่มีใครสนใจฉินเฟิงเลยสักคน
ฉินเฟิงจึงไม่เปลืองคำพูดอีก เขาชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง แล้วตะโกน “หนิงหู่ทุบตีมันให้ข้า จนกว่ามันจะหุบปาก!”
หนิงหู่ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปราวกับธนู ก่อนจะชกจมูกของชายหนุ่มจนเลือดกำเดากระเซ็น เสียงโหยหวยราวกับสุกรถูกเชือดดังก้องไปทั่วบริเวณ
ฉากที่อึกทึกอลหม่านค่อย ๆ เงียบลง
ทุกคนสับสน หวาดกลัว และถึงขั้นโกรธแค้น
ในเวลานี้ กลุ่มกบฏกำลังปิดล้อมฐานที่มั่น และเสียงการต่อสู้จากนอกกำแพงยังคงดังมาไม่หยุดหย่อน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถยืนหยัดได้สักระยะหนึ่ง เพราะตำแหน่งเอื้ออำนวย และด้วยการชี้นำของฉินเทียนหู่กับเหล่าแม่ทัพ แต่ทุกคนรู้ดีว่า ฐานที่มั่นนี้จะต้องถูกทำลายเป็นแน่ แค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ในเวลานี้ควรพิจารณาเรื่องการเอาชีวิตรอดถึงจะถูก แต่ฉินเฟิงกลับหันหอกใส่ฝ่ายเดียวกัน แล้วทุกคนจะไม่โกรธได้อย่างไร
เฉินเกอจ้องมองฉินเฟิงด้วยสายตาเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “ฉินเฟิง! เจ้าถึงกับให้ท้ายหนิงหู่ ปล่อยให้เขาทุบตีลูกหลานผู้สูงศักดิ์แล้ว หรือว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับทหารกบฏ?!”
ภายใต้การนำของเฉินเกอ บุตรหลานที่เหลือเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง
“คนแซ่ฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
ฉินเฟิงเหลือบมองเฉินเกอซึ่งเป็นผู้นำสร้างความวุ่นวาย ด้วยสายตาจริงจังที่หาได้ยาก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “กองทัพกบฏสังหารผู้คนในเมืองหลวง ปิดล้อมค่าย และตั้งใจจะทำลายรากฐานต้าเหลียงเรา ไม่ว่าแรงจูงใจคืออะไร พวกมันทุกคนก็คือศัตรูคู่อาฆาตของเรา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีกำลังทหารประจำการอยู่น้อยมาก เป็นการยากที่จะทำการสู้รบ แม้ว่ากองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ ค่ายตะวันออกและตะวันตกจะตอบสนองอย่างรวดเร็วก็ยากที่จะมาถึงได้ทันเวลา”
“สำหรับแผนปัจจุบัน ทางเดียวที่จะอยู่รอดได้คือการต่อสู้สุดชีวิต และถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉินเฟิงก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงต่ำ “พวกเจ้าเต็มใจที่จะเป็นลูกแกะรอถูกเชือดอยู่ที่นี่ หรือเต็มใจที่จะสู้สุดชีวิตไปกับข้า!”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เฉินเกอผู้กรีดร้องอย่างดุเดือดที่สุดเมื่อครู่ ในแววตายังผุดความละอายใจออกมา
ลองดูสักตั้ง! แม้จะริบหรี่ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่!
หากยอมแพ้ และปล่อยให้ค่ายที่มั่นถูกทำลาย ถึงตอนนั้นทุกคนมีแต่จะต้องตายกันหมด
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเกอก็กัดฟัน และตะโกนลั่น “สู้!”
เมื่อเห็นว่าเหล่าบุตรหลานที่ตื่นตระหนกจนน่าสังเวชเหล่านี้รักษาความมั่นคงทางอารมณ์ได้ในที่สุด ฉินเฟิงก็ไม่มัวโอ้เอ้อีกต่อไป เขาสั่งให้เหล่าบุตรหลานขุนนางที่อยู่ตรงนั้นนับกำลังคนทันที
ทหารประจำการกับเหล่าผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้ทุกคนได้เข้าสู่แนวหน้าแล้ว
ผู้ที่เหลือเป็นทหารใหม่ นำโดยผู้เข้ารับการคัดเลือกแม่ทัพ ซึ่งเคยเข้าร่วมในพิธีชำระอาภรณ์ นับได้ทั้งสิ้นสองพันคน
แม้ว่ากำลังคนจะเพียงพอถูไถ แต่การขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง ๆ ส่งผลให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาต่ำมาก
ไม่ต้องพูดถึงทหารใหม่คนอื่น ๆ แม้แต่ทหารองครักษ์สามร้อยคนที่ ‘ฝึกฝน’ โดยฉินเฟิงเองก็ยังหน้าซีด และกำหมัดแน่น พวกเขาดูตื่นตระหนกหาใดเปรียบ
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ