บทที่ 177 การดำเนินงานทางศิลปะ
หลินฉวีฉีวิ่งมาถึงที่สนามฝึกแล้ว
เขามองฉินเฟิงซึ่งนอนอยู่ในศาลา ตอนนี้นายน้อยฉินถูกเรียกด้วยคำพูดเรียบหรูว่า หัวหน้าคนงาน แม้จริง ๆ แล้วจะทำเพียงนอนหลับสนิทอยู่ก็ตาม หลินฉวีฉีนึกโกรธขึ้นมา เขาหยิบพัดฟาดไหล่ของฉินเฟิงทันที แล้วตะโกนลั่น “ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะขาดวินัยเช่นนี้ ข้าคงไม่ตกปากรับคำขึ้นเรือโจรของเจ้า!”
หลินฉวีฉีวิ่งวุ่นจนขาเกือบหัก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นปัญญาชน แต่เขาต้องทำงานที่ทั้งสกปรกทั้งเหน็ดเหนื่อย มีอย่างที่ไหนกัน
หุ้นส่วนหรือ? เขาทำงานหนักเสียยิ่งกว่าลูกจ้างประจำอีก
ฉินเฟิงพลิกตัวด้วยความงุนงง เมื่อเห็นหลินฉวีฉีกำลังเดือดดาลมาก เขาก็รีบยกมือไหว้ แล้วพูดว่า “ข้าถูกท่านพ่อลากไปร่วมการประชุมตอนเช้าเมื่อคืนนี้ ข้าง่วงมาก งานเลี้ยงทางนั้น เจ้าช่วยข้ารับมืออีกสักหน่อยเถิด”
หลินฉวีฉีโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ทำอะไรฉินเฟิงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงนั่งลงข้างกายอีกฝ่าย หยิบกาน้ำชา และจิบสองอึก ก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“บุคคลสำคัญในเมืองหลวงเกือบทั้งหมดอยู่ที่นี่ แม้แต่กรมคลังยังส่งตัวแทนมาแสดงความยินดีพอเป็นพิธี คนมากกว่าครึ่งมาที่นี่เพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับดีนัก มาซ่อนตัวเพื่อพักผ่อนอยู่ตรงนี้เสียได้”
ซ่อนตัวเพื่อพักผ่อน? ฉินเฟิงไม่ชอบคำที่ได้ยินนัก เขานั่งตัวตรงทันที ชี้ไปยังฝูงชนที่พลุกพล่าน อยู่ไกล ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่หาได้ยาก
“เห็นหรือไม่? ที่นี่จะเป็นสำนักงานใหญ่ของตระกูลฉินเราในอนาคต! ครอบคลุมคลังแสง การค้า และศิลปะวัฒนธรรม”
เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็ชี้ไปยังพื้นที่เปิดโล่งที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับแสดงสีหน้าวาดหวัง “เมื่อถึงเวลา ร้านหนังสือจะถูกสร้างขึ้นตรงนั้น”
หลังจากได้ยินวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของฉินเฟิงแล้ว หลินฉวีฉีก็รู้สึกซับซ้อนมาก เขาไม่รู้ว่าจะชื่นชมความเก่งกล้าของอีกฝ่าย หรือต้องหวาดกลัวความทะเยอทะยานของนายน้อยผู้นี้ดี
แม้ว่าหลินฉวีฉีจะไม่เต็มใจจะสาดน้ำเย็นใส่ฉินเฟิง แต่ปัญหาในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ เขาพูดด้วยเสียงทุ้มทันที “เป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างร้านหนังสือ แต่ปัญหาคือการขายหนังสือนั้นยาก หากเป็นเพียงหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า*[1] ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าการขายสร้างกำไรได้ต่ำอย่างยิ่ง และหากเป็นหนังสือเล่มอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็ควบคุมโดยกรมพิธีการ จึงไม่สามารถขายได้ตามใจชอบ ข้าว่ากิจการร้านหนังสือนี้ยากจะ…”
ไม่ใช่แค่หลินฉวีฉีที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่หลิ่วหงเหยียนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้ามากที่สุดในตระกูลฉินเองก็ไม่สนใจ เมื่อนางเรียนรู้เกี่ยวกับกิจการร้านหนังสือที่ฉินเฟิงวางแผน นางก็คิดว่ามันเป็นกิจการที่ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่องอย่างแท้จริง
ไม่จำเป็นต้องดูตัวอย่างจากไหนไกล แค่ดู ‘หอวิจิตรศิลป์’ ของเสิ่นชิงฉือก็พอ ที่นั่นไม่เพียงแต่ขายหนังสือเท่านั้น แต่ยังขายสมบัติทั้งสี่ในห้องหนังสือ และยังขายภาพวาดพู่กันต่าง ๆ ด้วย ทว่ากำไรต่อเดือนแทบไม่ต้องพูดถึงเลย
“เจ้าคิดผิดแล้ว สิ่งที่ข้าขายไม่ใช่หนังสือธรรมดา…”
ฉินเฟิงยกมุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดังสุนัขจิ้งจอก
นอกเหนือจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการศึกษาทุกประเภทแล้ว สมองของเขายังเต็มไปด้วยนวนิยายหลากหลายที่อ่านฆ่าเวลายามเบื่อหน่ายอีกด้วย
ตั้งแต่สี่สุดยอดวรรณกรรมจีน*[2] ไปจนถึงโปเยโปโลเย ขงจื๊อไม่สอน ฯลฯ รวมไปจนถึงนวนิยายออนไลน์ทุกประเภท
ในยุคนี้ความบันเทิงนั้นหายากมาก เช่นนี้ทำไมไม่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนดีขึ้นไปพร้อม ๆ กับการสร้างรายได้เล่า?
ฉินเฟิงเรียกฉินเสี่ยวฝู ให้อีกฝ่ายกลับไปที่จวนเพื่อเอาต้นฉบับจากห้องของเขา จากนั้นส่งมอบบทนำของ ‘นวนิยายโรแมนติกโบราณ’ ที่ได้รับการลอกเลียนแบบอย่างไร้ยางอาย และผ่านการปรับแต่งทางศิลปะให้สอดคล้องกับกฎหมายและสังคมของต้าเหลียงแล้วให้หลินฉวีฉีดู
ตัวอักษรไม่มากนัก มีเพียงสามพันคำเท่านั้นที่ฉินเฟิงคัดลอกออกมาเล่น ๆ ในขณะที่เขารู้สึกเบื่อหน่ายยามว่างงาน
เมื่อมองดูแบบอักษรบิดเบี้ยวของฉินเฟิง หลินฉวีฉีก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ริมฝีปาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นเนื้อหาของต้นฉบับ เขาก็ติดกับอย่างไม่อาจถอนตัว หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป บัณฑิตหนุ่มก็ถอนหายใจยาว และมองฉินเฟิงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“นี่… เจ้าเขียนเองจริงหรือ?”
แน่นอนว่า… ไม่ใช่!
ผู้เขียนเป็นปรมาจารย์ที่มียอดขายหนังสือติดอันดับสูงสุดมาหลายปี และเพราะนวนิยายเรื่องนี้ ชื่อของเขาถึงได้ติดหนึ่งในสามอันดับแรกตามการจัดอันดับของฟอบส์*[3]
แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าในยุคนี้ไม่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ฉินเฟิงจึงพยักหน้าแบบไม่หนักอกหนักใจ “ถ้าไม่ใช่ข้าเขียน แล้วเจ้าเป็นคนเขียนหรือไง?”
หลินฉวีฉีสูดลมหายใจเย็น ๆ
ก่อนหน้านี้เขาเคยอ่าน ‘นวนิยาย’ มาไม่น้อย และทั้งหมดล้วนมีรูปแบบการเขียนและโครงเรื่องดำเนินไปช้ามาก ทว่านวนิยายเรื่องนี้มีความยาวช่วงแรกไม่ถึงหนึ่งพันคำ แต่กลับสามารถกุมความสนใจของเขาได้ และสองพันคำช่วงหลังก็ยังมีเนื้อหาน่าทึ่งยิ่งกว่า!
เพียงก่อนที่จะเริ่มเนื้อเรื่อง ก็ทำให้หลินฉวีฉีใจร้อน ต้องการทราบความคืบหน้าต่อไปแล้ว
แม้ว่าการเรียบเรียงและการเลือกใช้คำจะค่อนข้างเรียบง่าย แต่ความสนุกของเรื่องราวสามารถชดเชยได้!
หลินฉวีฉีถือว่าต้นฉบับนี้เป็นสมบัติ และปกป้องมันไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา เขามั่นใจว่าเมื่อหนังสือเล่มนี้ออกสู่ตลาด มันจะทำกำไรได้อย่างมหาศาล!

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ