บทที่ 19 บทกวีตลก
“เฉิงฟา เฉิงฟา คนหน้าด้าน ติดหนี้ไม่คืนเงินเสแสร้งเป็นลูกวัว พนันชุมนุมกวีแพ้ไม่ยอมรับ ติดหนี้อาจารย์แสนตำลึงเงิน ซ่อนตัวอยู่ในบ้านเป็นเต่าหดหัว เก็บเงินแสนตำลึงเงินไว้ซื้อพวงหรีด”
ฉินเฟิงพอใจกับความสามารถทางวรรณกรรมของตัวเองมาก ในขณะที่โบกมือรักษาจังหวะก็สั่งให้เหล่าขอทานเก่าแก่ตะโกนเสียงดังไปด้วย
ต่อมาเมื่อรู้สึกว่ายังไม่หนำใจ ชายหนุ่มก็จ้างขอทานแก่สองคนให้คอยเคาะจังหวะข้าง ๆ ไปด้วย
ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมารวมตัวกันอยู่ใกล้ ๆ ต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ หากไม่กลั้นหัวเราะ ก็วิ่งเข้าไปในตรอกแล้วหัวเราะออกมาดัง ๆ
เด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบเดินตามเหล่าขอทานและตะโกน “เฉิงฟา เฉิงฟา หน้าด้านจริง ๆ…”
แม้ว่าพวกผู้ใหญ่จะไม่กล้าล่วงเกินตระกูลเฉิงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงตามในใจ กระทั่งในที่สุดสมองของพวกเขาก็เต็มไปด้วยทำนองเพลงแปลกประหลาดนั่น
บทกวีติดตลกที่ฉินเฟิงแต่งขึ้นมาอย่างฉาบฉวย กลายเป็นเพลงกล่อมเด็กที่ร้องกันปากต่อปาก และแพร่กระจายออกไปกว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลานี้ ณ ลานกว้างตระกูลเฉิง เลขาธิการเฉิงกำลังเดินไปมา เขาเอามือไพล่หลัง สีหน้าเขียวคล้ำไปหมด ไม่ต้องพูดถึงสาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ แม้แต่เฉิงฮูหยินก็ยังหวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจเสียงดัง
เมื่อได้ยินท่วงทำนองติดหูนอกประตู เลขาธิการกรมคลังก็ตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาหยุดฝีเท้าลงทันที จากนั้นก็หันกลับไปตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “เฉิงฟา เจ้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
เฉิงฟาซ่อนตัวอยู่หลังลานได้ยินเสียงคำรามดังลั่นของบิดาก็ตกใจจนตับไตสั่นสะท้าน
เดิมทีเฉิงฟาคิดว่าเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินสามารถเบี้ยวได้ ตราบใดเขากัดฟันปฏิเสธที่จะจ่าย ฉินเฟิงยังจะกล้าบุกเข้ามาในจวนตระกูลเฉิงอีกได้หรือ? เขาไม่เคยคิดฝันว่าไอ้บ้านั่นจะหน้าด้านถึงเพียงนี้ อีกทั้งเพลงสมควรตายนั่น แม้แต่เฉิงฟาก็ฟังจนฝังติดอยู่ในสมอง หากไม่คอยสะกดจิตตัวเองไว้ เขาก็จะร้องอยู่ในใจหลายรอบโดยไม่รู้ตัว
เฉิงฟามาที่ลานด้านหน้าด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวทั้ง ๆ ที่ตัวสั่นงันงกว่า “ท่านพ่อ ท่านฟังข้าพูด…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เลขาธิการเฉิงก็หันกลับมาตบบ้องหูลูกชายฉาดใหญ่ ทำเอาเฉิงฟาเห็นดาวระยิบระยับอยู่บนหัว ชายหนุ่มวิงเวียนและสับสนไปชั่วขณะ
เลขาธิการเฉิงหน้าเขียวปั้ด เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เอาแส้มา!”
บ่าวรับใช้ไม่กล้ารีรอรีบยื่นแส้ให้
ปากของเลขาธิการเฉิงหอบหนัก สองตาเขาแทบจะพ่นไฟออกมา ผู้เป็นบิดาออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้แขวนบุตรชายไว้บนต้นไม้ จากนั้นก็ลงมือเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ทุกครั้งที่โดนเฆี่ยน เฉิงฟาร้องโหยหวนราวกับสุกรถูกเชือด ถูกตีเสียจนน้ำมูกและน้ำตาไหล
ท้ายที่สุด ร่างกายส่วนล่างก็สั่นเทาจนของเหลวสีเหลืองใสไหลออกมา เขาถูกเฆี่ยนตีจนควบคุมปัสสาวะไม่ได้แล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้เฉิงฮูหยินจึงคุกเข่าลงต่อหน้าบุตรชาย ร่ำไห้เสียงดัง ขอร้องให้เลขาธิการเฉิงเมตตา
เลขาธิการเฉิงหวดแส้ซ้ำอีกสองครั้งแล้วจึงหยุด
เฉิงฟาแทบจะเป็นลมไปเพราะความเจ็บปวด ตอนที่ต้องคุกเข่าเพื่อกราบฉินเฟิงที่สำนักศึกษาก็น่าอับอายมากพอแล้ว ตอนนี้ยังถูกบิดาทุบตีอย่างไม่ยั้งมือท่ามกลางฝูงชนอีก ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่ง เฉิงฟาลอบกัดฟันและคำรามในใจ เขาสาบานว่าจะทำให้ไอ้สารเลวฉินเฟิงชดใช้ด้วยเลือดให้ได้
เฉิงฮูหยินปวดใจแทนบุตรชาย ในขณะเดียวกันก็เกลียดฉินเฟิงจนถึงขีดสุด นางร่ำไห้พลางเอ่ย “นายท่าน! ท่านในฐานะเลขาธิการกรมคลัง ถูกไอ้สารเลวฉินเฟิงมาสบประมาทเยี่ยงนี้ ท่านจะปล่อยมันไปหรือ? ข้าว่าไปทูลฮ่องเต้ให้ลงโทษตระกูลฉินให้สาสมกับความผิดดีกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เลขาธิการเฉิงก็จ้องมองฮูหยินด้วยความโกรธ เขาตะโกน “เจ้าจะรู้อะไร! ความคิดเห็นของสตรี!”
“ทุกวันนี้กรมคลังกับกรมกลาโหมกำลังเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน และการต่อสู้ก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หากไปฟ้องร้องฮ่องเต้ในเวลานี้จะไม่ทำให้ผู้อื่นระแวงว่าข้ากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือ? มีคำกล่าวว่า ต้นไม้สูงจะถูกทำลายโดยลมป่า แม้ว่าจะเป็นคนของกรมคลัง ก็โผล่ไปข้างหน้าเพื่อเป็นปืนใหญ่ห่วย ๆ ไม่ได้!”
“นอกจากนี้ ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของฉินเฟิงแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองวัน? ไปยั่วยุใครไม่ยั่วแต่กลับยั่วยุตัวภัยพิบัตินั่น!”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ