บทที่ 197 ฮ่องเต้เสด็จประพาส
ย้อนกลับไปตอนนั้น ตระกูลฉินได้ทำให้กุ้ยเฟยขุ่นเคือง เรื่องจึงจบลงด้วยการส่งฮูหยินฉินกลับบ้านเกิด ตอนนี้พวกเขาทำให้กุ้ยเฟยขุ่นเคืองอีกครั้งแล้ว เช่นนั้นควร ‘สังเวย’ ผู้ใดเพื่อยุติข้อพิพาทครั้งนี้?
ในตอนที่เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์กำลังกังวลใจ พระสุรเสียงของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ดังมาจากด้านข้าง
“บุตรีตระกูลเซี่ย เจ้าไม่รังเกียจฉินเฟิงที่ออกไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบแสงจันทร์กลางดึกเลยหรือ?”
ทันทีที่สิ้นประโยค เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์รีบมองไปทางอื่น แล้วโค้งคำนับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันกับฉินเฟิงยังมิได้เข้าพิธีแต่งงาน เขาจะไปที่ไหนก็ช่างเถิด หม่อมฉันจะควบคุมได้อย่างไร นอกจากนี้ฉินเฟิงยังคงอยู่เมืองหลวง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเรื่องแบบนี้ ต่อให้แต่งงานกันแล้ว ถ้าเขายังอยากจะไปมีคนอื่น หม่อมฉันจะว่าอะไรเขาได้หรือเพคะ?”
เมื่อเห็นท่าทีของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ พระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็มองลึกลงไป “เจ้าเป็นบุตรีของหนิงกั๋วกง ถ้าฉินเฟิงกล้ารังแกเจ้า เจ้าแค่มาบอกเจิ้น คนอื่นจัดการเขาไม่ได้ แต่เจิ้นจัดการเขาได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ แต่กลับลอบถอนหายใจยาวเหยียด ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะผูกมัดตระกูลฉินและเซี่ยไว้ด้วยกัน
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์รู้ดีว่า ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเรียกให้ท่านพ่อและตนเองออกมาในคืนนี้นอกเหนือจากการพักผ่อนหย่อนใจแล้ว อาจมีความนัยลึกซึ้งอีกอย่างหนึ่ง แต่มันคืออะไรกันแน่ นางยังคงไม่อาจหาคำตอบได้
ช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ชายชุดดำก็วิ่งมาที่ด้านล่างของหอคอย ประสานหมัดแล้วรายงาน “กราบทูลฝ่าบาท ปริศนาแรกสิ้นสุดลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฉินเฟิงสามารถเดาคำตอบได้สำเร็จ นั่นก็คือคำว่า ‘思(คิด)’ ต่อไปฉินเฟิงจะเป็นผู้ตั้งปริศนาที่สอง”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโบกพระหัตถ์ จากนั้นชายชุดดำก็หายตัวไปท่ามกลางความมืด
เมื่อมองดูป้ายผ้าที่ถูกถอดออกเหนือทะเลสาบแสงจันทร์ พระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ทอประกายความสนใจ “แข่งขันกันด้วยการเดาปริศนาโคมไฟสามารถตัดสินผู้ชนะได้ อีกทั้งยังไม่ขัดอารมณ์อันสุนทรีย์ นี่คือสิ่งที่บุตรหลานในเมืองหลวงควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เปลี่ยนเรื่องทันที “ได้ยินมาว่า… บุตรหลานตระกูลหลินมีความสามารถรอบด้านมาโดยตลอด ไม่ว่าทำอะไรก็ดีกว่าใคร ๆ วันนี้ได้พบกับฉินเฟิงที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ ไม่รู้ว่าเด็กตระกูลหลินคนนี้จะสามารถยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิตได้หรือไม่”
เซี่ยปี้และหลี่จ้านมองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
ในใจพวกเขารู้ชัดแจ้งเหมือนกระจกที่แจ่มใส
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังถือโอกาสเปิดเผยความในพระทัย แอบตำหนิตระกูลหลินที่กุมอำนาจมากเกินไป โดยอาศัยฐานะของกุ้ยเฟยและไท่เป่า ทำให้ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเหนือชั้นกว่าคนทั่วไปอยู่เสมอ
สำหรับคำที่ว่า ‘มีความสามารถรอบด้าน’ ย่อมหมายถึง การที่คนในแวดวงต่าง ๆ จงใจแพ้แก่บุตรหลานตระกูลหลินเพียงเพื่อหวังจะประจบประแจง
ในแคว้นต้าเหลียง ยกเว้นราชวงศ์หลี่ ตระกูลใดก็ตามที่มีอำนาจมากเกินไปล้วนทำให้ให้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเกิดความระแวง
เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทต้องการสนับสนุนตระกูลฉินมาคานอำนาจกับตระกูลหลิน!
เพียงแต่การเคลื่อนไหวของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง สำหรับตระกูลฉินแล้ว แทนที่จะบอกว่าเป็นโอกาส ไม่สู้พูดว่าเป็นความเสี่ยงจะดีกว่า!
ท้ายที่สุดตระกูลหลินนั้นหยั่งรากลึกในเมืองหลวงมานาน หลาย ๆ เรื่องแม้แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แล้วนับประสาอะไรกับตระกูลฉินเล่า?
เมื่อเห็นแผ่นป้ายที่สองค่อย ๆ ยกสูงขึ้น เซี่ยปี้กำลังจะพูดถึงหัวข้อปริศนาโคมไฟข้อที่สองนี้ แต่ก็เห็นชายชุดดำวิ่งเข้ามาอีกครั้งเสียก่อน
คราวนี้อีกฝ่ายขึ้นมาด้านบนหอคอย กระซิบคำสองสามคำข้างพระกรรณของฮ่องเต้
ฝ่าบาทพยักพระพักตร์ด้วยความสงบ “เจิ้นก็เพิ่งพูดไป บุตรหลานตระกูลหลินรู้จักแต่จะเอาชนะ ในสายตาไม่อยากเห็นใครดีกว่า ไม่สามารถยอมรับคำว่า ‘แพ้’ ได้ แค่เสียเชิงจากปริศนาแรกไปก็อดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ได้แล้ว”
ขณะพูด ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ค่อย ๆ ทอดพระเนตรไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวง พลันตรัสแผ่วเบา “เซี่ยปี้ หลี่จ้าน เจ้าทั้งสองคนไปจัดการ พยายามทำให้เงียบที่สุด หากเจอใครก็ลงโทษฐานเป็นสายลับให้เป่ยตี๋”
เซี่ยปี้และหลี่จ้านไม่กล้าพูดให้มากความ รีบค้อมศีรษะคารวะ แล้วออกจากหอคอยไปอย่างเงียบเชียบ



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ