บทที่ 2 เจ้ายังกล้าเข้าร่วมการสอบชุมนุมกวีอีกหรือ?
ฉินเฟิงชะงักค้าง จากนั้นก็รีบตอบสนองด้วยการตบลงไปบนหัวของฉินเสี่ยวฝู แล้วพูดเสียงดังทันที
“เสี่ยวฝู! นายน้อยผู้นี้เป็นคนเช่นนั้นหรือ? ข้าบอกเจ้าแล้วว่ากำลังปิดประตูสำนึกผิด*[1]อยู่ ถ้าเจ้ายังกล้ามายั่วยุข้าอีก คอยดูเถอะ ข้าจะหักขาสุนัขของเจ้าเสีย…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินเฟิงรู้สึกเพียงว่าหูของตนตึงและถูกบิดราวสามร้อยหกสิบห้าองศาได้ “ฮึ ๆ แสดงให้ข้าดูงั้นหรือ ใช่หรือไม่?”
“พี่หญิงรอง ๆๆ… ข้าเจ็บ…”
ฉินเฟิงเอียงศีรษะด้วยความเจ็บปวด เขาเดินกึ่งดิ้นไปรอบ ๆ หลิ่วหงเหยียน
พี่หญิงรองของข้าช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ
แม้ว่าพี่หญิงทั้งสี่จะเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านพ่อของเขารับเลี้ยง แต่พวกนางต่างก็เก่งกาจยิ่งนัก
ยกตัวอย่างเช่น พี่หญิงรองซึ่งเป็นสตรี หลังจากที่นางจัดการเงินทองของตนเองได้ นางก็ใช้เวลาเพียงสี่ปีอาศัยกลยุทธ์สร้างรากฐานในเมืองหลวงและสร้างกิจการที่รุ่งโรจน์จนกลายเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุด
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ร้ายกาจเช่นนี้ ฉินเฟิงจึงทำได้เพียงร้องขอความเมตตา
“ข้าสั่งให้เจ้าปิดประตูสำนึกผิด เจ้าก็ปิดประตูสำนึกผิดเช่นนี้น่ะหรือ?”
หลิ่วหงเหยียนสวมชุดยาวสีแดงเลือดหมู ใบหน้าสวยงามของนางตอนนี้เขียวปั้ด เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้จักสำนึกผิดจริง ๆ ขนาดกักบริเวณแล้วก็ยังมีลูกไม้ใหม่ออกมา!
“พี่หญิงรอง มันไม่ใช่ความผิดของข้าจริง ๆ! ข้าเองก็เป็นเหยื่อ…”
ฉินเฟิงเข้าใจอารมณ์ของหลิ่วหงเหยียนดี หากเขายอมรับในตอนนี้จะต้องตายเป็นแน่ ชายหนุ่มกลอกตาไปมาอย่างเจ้าเล่ห์และโยนความผิดไปให้คนอื่นหน้าด้าน ๆ
“ล้วนเป็นความผิดของทาสสุนัขพวกนี้ พวกเขายืนกรานที่จะให้เงินข้าเอง”
“พี่หญิงรอง ข้ายืนเกลี้ยกล่อมอยู่นานแต่พวกเขาก็ไม่ฟัง! พวกเขาบอกว่าข้าได้เงินเดือนน้อยเกินไป ไม่พอใช้จ่าย จึงสมัครใจควักเบี้ยหวัดของตนออกมาให้ข้าไว้สำหรับทำการใหญ่…”
ทุกคน “…”
นายน้อย ท่านยังไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกหรือไม่…
หลิ่วหงเหยียนได้ยินเช่นนี้จึงทั้งโกรธทั้งขำ จะโกหกหน้าด้าน ๆ แบบนี้น่ะหรือ? เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร? ถึงจะไม่เห็นคำว่า ‘กล่องรางวัล’ ที่เขียนอยู่
“เจ้าเก่งกาจมากจริง ๆ ตอนนี้แม้แต่บ่าวรับใช้ก็ไม่ละเว้นหรือ? หน้าด้านหน้าทนเพียงนี้ ข้ายังอับอายแทนเจ้าเลย!”
นางปล่อยใบหูของฉินเฟิงแล้วตบลงบนศีรษะ ก่อนจะพูดอย่างโกรธเคือง “หยุดพูดไร้สาระ ข้าขอถามเจ้า การสอบชุมนุมกวีจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าแล้ว เจ้าท่องบทกวีที่ข้าให้จำได้หรือยัง”
“กวี? กวีอะไร?”
ใบหน้างดงามของหลิ่วหงเหยียนเคร่งขรึมทันที
“เอ่อ… แค่ก แค่ก ก็แค่บทกวีมิใช่หรือ อัจฉริยะอย่างข้าจะท่องไม่ได้เชียวหรือ”
ฉินเฟิงเพิ่งตระหนักได้ว่าวันนี้เขาต้องเข้าร่วมชุนนุมกวีของสำนักศึกษาเซิ่งหลิน
เพื่อให้ฉินเฟิงได้รับอันดับหนึ่งในการสอบชุมนุมกวีครั้งนี้ หลิ่วหงเหยียนส่งบทกวีให้เขาอ่านเมื่อสองสามวันก่อน
ผลคือเจ้าของร่างเดิมยังท่องได้ไม่เท่าไหร่ ก็ไปเสียแล้ว…
โชคดีที่ความจำของฉินเฟิงนั้นยอดเยี่ยม เมื่อเห็นหลิ่วหงเหยียนโกรธ เขาก็ตัวสั่นด้วยความตกใจและรีบท่องบทกวีออกมาอย่างรวดเร็ว
“ครั้งอำลาบุปผายังสะพรั่ง เส้นทางยังกรุ่นกลิ่นรินรวยรื่น สองเราเฝ้าหยอกเย้าเคล้าเคียงคืน รัญจวนชื่นมวลหมอกรุ้งฟุ้งนภา ครั้งหวนกลับหมู่บุหงันพลันร่วงหล่น เส้นทางหม่นปณิธานมิหาญกล้า เมฆทมึนลอยอ้างว้างกลางทิวา หวังสุราขจัดทุกข์นำสุขคืน”
หลังจากได้ฟัง สีหน้าของหลิ่วหงเหยียนดีขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ย “อืม ไม่เลว และก็ไม่เสียแรงที่ข้าใช้หนึ่งหมื่นตำลึงเงินขอบทกวีนี้จากเซี่ยจิ้นซื่อมาให้เจ้า!”
“ว่าไงนะ หมื่นตำลึงเงิน?!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉินเฟิงก็กระโดดขึ้นทันที เขาตกใจจนใบหน้าเหยเก
“บทกวีกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ มีราคาหมื่นตำลึงเงินงั้นหรือ! พี่หญิงรองบอกข้ามาเถิด ท่านถูกหลอกแน่ ๆ บทกวีบ้าบอนี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ! แม้แต่กับคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถจัดการได้ ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว”
“น้องชายของท่านแต่งบทกวีเล่นสักบท ยังดีกว่ากวีบทนี้เป็นพันเท่าหมื่นเท่า…”
ฉินเฟิงยกมือเท้าเอวและพ่นคำพูดออกมา ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าใบหน้างดงามของหลิ่วหงเหยียนโกรธเกรี้ยวจนเขียวปั้ด นางกัดฟันขาวของตนเบา ๆ
เพื่อขอบทกวีนี้ นางต้องยืนอยู่นอกจวนจิ้นซื่อเป็นเวลาหนึ่งวัน ตอนนี้กลับมาถูกฉินเฟิงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไร้ค่า?
“หุบปาก!”
หลิ่วหงเหยียนจ้องมองฉินเฟิงและตวาดออกมาอย่างกราดเกรี้ยว
“ความรู้ของเจ้าน้อยนิด แม้แต่อักษรก็จำไม่ครบ กลับรู้ว่าบทกวีนั้นดีหรือไม่ดีอย่างนั้นหรือ?
“อีกอย่างแม้แต่พี่หญิงใหญ่ก็ยังบอกว่านี่เป็นบทกวีที่ดีและหายาก เจ้าอย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย! ในการสอบชุมนุมกวี เจ้าแค่อ่านบทกวีนี้ก็พอ!”
พี่หญิงใหญ่เสิ่นชิงฉือเป็นสตรีมีพรสวรรค์ที่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวง นางงามพร้อมทั้งมารยาท ความสามารถ และรูปโฉม ตอนได้ยินว่าแม้แต่พี่หญิงใหญ่ยังชมบทกวีบทนี้ ฉินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก…
หากนี่ถือเป็นบทกวีที่ดี แล้วบทกวีที่โด่งดังจากอดีตถึงปัจจุบันที่อยู่ในสมองของเขาจะเอาไปไว้ที่ใดเล่า?
แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว ฉินเฟิงก็เริ่มกระจ่าง แคว้นเหลียงเป็นแคว้นใหม่ เพิ่งสถาปนามาเพียงยี่สิบปีเท่านั้น วรรณกรรมน่าจะกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟู ค่อนข้างคล้ายกับราชวงศ์ถังยุคแรก พวกความคล้องจองก็เพิ่งจะปรากฎ
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ดวงตาของนายน้อยตระกูลฉินก็สว่างขึ้น!
บัดซบ บทกวีบ้าบอนี้มีค่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน เช่นนั้นบทกวีที่มีชื่อเสียงในสมองของเขาคงจะมีค่าหนึ่งแสนตำลึงเงินกระมัง? หรือหนึ่งล้านตำลึงเงิน?!


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ