บทที่ 3 การสอบชุมนุมกวีรอบคัดเลือก
ฉินเฟิงจำได้ทันที
คนที่ยืนขวางทางเขาอยู่คือเฉิงฟา ลูกน้องของหลี่รุ่ย เฉิงฟาเป็นบุตรชายของเลขาธิการกรมคลัง
ในคืนที่ฉินเฟิงถูกสังหาร บนเรือสำราญมีเฉิงฟาผู้นี้อยู่ด้วย
หลิ่วหงเหยียนรู้จักน้องชายดี เจ้าคนโหดเหี้ยมที่พอได้ยินอะไรไม่เข้าหูก็ต่อยตีได้หมดไม่สนลูกใคร การสอบชุมนุมกวีวันนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูล ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้ ดังนั้นนางจึงพยายามลากฉินเฟิงออกไป
ทว่าเฉิงฟากลับก้าวเข้ามาก่อน เขาขวางทางสองพี่น้องไว้อีกครั้ง และเริ่มเอ่ยยั่วยุ
“งานวันนี้เป็นงานใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจของผู้มีความรู้ในใต้หล้า นายน้อยฉิน เจ้าเป็นนายน้อยเสเพลที่รู้จักแต่เที่ยวผู้หญิง มิได้รู้หนังสือมากมาย คงไม่จำเป็นต้องมาร่วมสนุกหรอกกระมัง”
“ถ้าทำเรื่องขายหน้าขึ้นมาก็เท่ากับทำให้คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะ นี่จะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของสำนักศึกษาเซิ่งหลินจนหมดสิ้นหรือ?”
ในสำนักศึกษามีหูตามากมาย เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีเรื่องให้ดู จึงค่อย ๆ มารวมตัวกัน
เมื่อเห็นว่าเป็นฉินเฟิง บัณฑิตทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“เจ้านี่กล้ามาจริง ๆ! หรือว่าแต่งกลอนตลกขบขันอะไรมา”
“กลอนตลกขบขันก็แล้วไปเถิด ข้าเกรงว่าจะเป็นคำลามกอนาจารที่เรียนรู้มาจากหอนางโลมเสียมากกว่า”
“ฮึฮึ หน้าตาของเสนาบดีกรมกลาโหมถูกเจ้าหมอนี่ทำลายจนหมดสิ้นแล้ว ไร้ยางอายนัก”
เมื่อเผชิญกับการชี้มือชี้ไม้รอบ ๆ ฉินเฟิงไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ทว่าเขายังอยากหัวเราะอีกด้วย
ในฐานะแชมป์การขายในชีวิตที่แล้ว ทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมาก็คือหนังหน้าหนา
สำหรับเรื่องฝีปากแล้ว นายน้อยที่ดูมีความรู้เหล่านี้ยังห่างชั้นจากพวกคุณป้าปากร้ายที่ฉินเฟิงเคยต้องจัดการอยู่หลายชั้น
ฉินเฟิงมองไปที่เฉิงฟาด้วยรอยยิ้ม “ขนาดพี่เฉิงยังสามารถเข้าร่วมได้ แล้วทำไมข้าถึงเข้าร่วมไม่ได้เล่า หรือว่าสำนักศึกษาเซิ่งหลินนี้เป็นของตระกูลเจ้า? ตอนที่ดื่มสุรากับสาวงามด้วยกันบนเรือสำราญ เจ้าก็เอาแต่พูดว่าข้าเป็นอัจฉริยะ เหตุไฉนตอนนี้ถึงได้ไม่ยอมรับเสียแล้ว”
“หรือว่าพี่เฉิงรู้สึกไม่พอใจที่ดาวเด่นบนเรือสำราญมาอยู่กับข้าในคืนนั้น?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็หันไปสนใจเฉิงฟา
แม้ว่าการดื่มสุรากับสาวงามจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในแวดวงผู้รู้หนังสือ ทั้งยังมีคนกล่าวว่าหอนางโลมเป็นสถานที่ที่สง่างาม
แต่การพูดในที่สาธารณะก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะการสอบชุมนุมกวีที่มีสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้
หากอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาทราบ เขาอาจโดนหักคะแนนความประทับใจก่อนได้เข้าร่วมการสอบด้วยซ้ำ
ใบหน้าของเฉิงฟาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที “ใคร… ใครไปเรือสำราญ ฉินเฟิงเจ้าอย่าสาดน้ำสกปรก!”
ฉินเฟิงยักไหล่ ทำท่าไร้เดียงสา
“วันนี้แม่นางบนเรือสำราญยังมาบ่นกับข้าอยู่เลย นางบอกว่าพี่เฉิงไปดื่มกินโดยไม่จ่ายเงินอยู่เรื่อย”
ทันทีที่ฉินเฟิงพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น
เฉิงฟาตัวสั่นด้วยความโกรธ ชี้ไปที่ฉินเฟิงและกล่าวตะกุกตะกัก “เจ้ากำลังพูดไร้สาระ! ข้าเป็นถึงบุตรชายของเลขาธิการกรมคลัง ข้าจะฟ้องอาจารย์ใหญ่ว่าเจ้าหมิ่นประมาท!”
ฉินเฟิงไม่ได้จริงจังนัก เขายื่นมือออกไปตรง ๆ “ก่อนที่เจ้าจะฟ้องร้อง ไปจ่ายเงินก่อนนะ เป็นข้าที่ช่วยจ่ายล่วงหน้าให้เจ้า… แม้ว่าเจ้าจะใช้เวลาแค่ครึ่งถ้วยชา*[1] แต่สิ่งที่ควรจ่ายก็ต้องจ่าย ทุกท่านคิดว่าถูกหรือไม่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าพูดถูก ไม่ว่าจะไร้ประโยชน์แค่ไหน ก็ต้องจ่ายเงิน…”
“ดูพี่เฉิงสิ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำแล้ว…”
“ฮะ ๆๆ นายน้อยเสเพลผู้นี้ อะไร ๆ ก็กล้าพูดออกมา ข้าขำจะตายแล้ว!”
คนที่เข้าสำนักศึกษาเซิ่งหลินได้นั้นมีทั้งคนรวย คนเก่ง พวกเขาไม่เกรงกลัวว่าจะทำให้ใครโกรธเคือง ดังนั้นเมื่อฉินเฟิงพูดจบ จึงมีเสียงหัวเราะมากมายดังขึ้นรอบ ๆ
ชั่วพริบตา บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน
เฉิงฟาโกรธจนกัดฟันแน่น ใบหน้าซีดเซียว พูดไม่ออกเป็นเวลานาน
เดิมทีเขาวางแผนที่จะทำให้ฉินเฟิงขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล แต่ใครจะไปคิดว่าคนผู้นี้จะไร้ยางอายและหน้าหนาถึงขั้นนี้
ถึงกับยอมรับอย่างใจกว้างว่าไปดื่มกินบนเรือสำราญ แต่ตัวเฉิงฟาเองกลับต้องอับอายขายขี้หน้า เขายกก้อนหินทุบเท้าตัวเองเสียแล้ว
ครั้งนี้ จึงไม่มีใครสนใจฉินเฟิงอีก
เพราะอย่างไร… ตราบใดที่ฉินเฟิงไม่รู้สึกอาย คนที่อายก็คือผู้อื่น
หลิ่วหงเหยียนรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ นางรู้ว่าฉินเฟิงมีนิสัยไม่ดี เดิมทีนางกังวลว่าจะมีคนใช้ข้อเสียนี้กีดกันไม่ให้เขาเข้าร่วมการสอบชุมนุมกวี
ท้ายที่สุด คาดไม่ถึงว่า ‘พลังการต่อสู้’ ของเขาจะทรงพลังถึงเพียงนี้ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกละอายใจด้วยคำพูดไม่กี่คำจนสะบัดแขนเสื้อจากไป

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ