บทที่ 4 ทำให้ผู้ชมตื่นตะลึง
“เกล็ดสีทองล้อมรอบเจ็ดโลงมังกร ยามโมงสามเจ้าแห่งหยินสะดุ้งตื่นจากฝัน หลับใหลเคียงกระดูกในชุดขาว…”
ผู้คุมสอบตบโต๊ะด้วยความโกรธ “อัปมงคล! บิดามารดาเจ้าไปสวรรค์แล้วหรือ? กลับไปงานศพซะ อย่ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่!”
แม้จะเป็นเพียงการคัดเลือกรอบแรกแต่ก็เข้มงวดมาก ชั่วพริบตา ผู้สมัครหนึ่งพันกว่าคนถูกคัดออกไปกว่าหนึ่งในสาม
ผ่านไปไม่นานก็ถึงคราวของฉินเฟิง
ทันทีที่เดินมาถึงเบื้องหน้าผู้คุมสอบ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
เฉิงฟาซึ่งเพิ่งผ่านการคัดเลือกรอบแรกจงใจเปล่งเสียงดังยั่วเย้าเหน็บแนมเขา ดูแล้วแปลกพิลึก
“มา ๆๆ ทุกคนรีบมาดู! วันนี้เราต้องฟังสักหน่อยว่านายน้อยตระกูลฉินของเรามีผลงานสูงส่งอันใด”
ให้ตายเถอะ บังอาจทำให้ข้าขายหน้ากลางฝูงชน เจ้าลืมไปแล้วรึว่าตัวเองอยู่ระดับใด?
เฉิงฟาคับแค้นอยู่ในใจ
ได้ยินดังนั้นผู้สอบรอบ ๆ ก็เริ่มสนใจและมองไปที่ฉินเฟิง
การสอบชุมนุมกวีครั้งนี้มีระบบการคัดเลือกที่เข้มงวดมาก เพื่อป้องกันการเล่นพรรคเล่นพวกและการฉ้อฉล แม้แต่ผู้คุมสอบรอบคัดเลือกยังได้รับการแต่งตั้งจากอาจารย์ใหญ่เป็นการส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นบุตรของขุนนาง หรือนายน้อยจากตระกูลร่ำรวยก็ล้วนไม่ได้รับการไว้หน้า!
ด้วยทักษะทางวรรณกรรมของฉินเฟิงตอนนี้ การจะผ่านรอบคัดเลือกรอบแรกจึงไม่ต่างอะไรกับเรื่องเพ้อเจ้อ ดูซิว่าเขาจะปล่อยไก่ออกมากี่ตัว?
การยุยงของเฉิงฟาทำให้บัณฑิตที่ชอบสอดรู้สอดเห็นอยู่แล้วเริ่มโห่ร้อง
“ใช่แล้วฉินเฟิงมีผลงานยอดเยี่ยมอันใด อ่านมันออกมาดัง ๆ ให้ข้าได้ชื่นชมสักหน่อย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า คงจะไม่ใช่ ‘ใต้สะพานหน้าประตู ฝูงเป็ดว่ายผ่านมา’*[1] อีกแล้วกระมัง?”
“แม้ว่าข้าจะผ่านการคัดเลือกรอบแรกไม่ได้ แต่อย่างไรพวกเราก็มีนายน้อยฉินผู้ยิ่งใหญ่อยู่รั้งท้าย ข้าจึงไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย…”
หลิ่วหงเหยียนกัดริมฝีปากบางเบา ๆ ฝ่ามือนางมีเหงื่อออกเล็กน้อย ราคาบทกวีของเซี่ยจิ้นซื่อนั้นสูงเกินไป หลิ่วหงเหยียนทำได้เพียงวางแผนที่จะให้ฉินเฟิงผ่านการคัดเลือกรอบแรกอย่างราบรื่นและรักษาสิทธิ์ในการศึกษาต่อของสำนักศึกษาเซิ่งหลินเอาไว้
แต่ตอนนี้กลับพบว่ารอบคัดเลือกของการสอบชุมนุมกวีนั้นเข้มงวดกว่าเดิมมาก ฉินเฟิงอาจไม่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกด้วยซ้ำ
การเสียเบี้ยหวัดไปหนึ่งหมื่นตำลึงเงินโดยเปล่าประโยชน์เป็นเรื่องเล็ก ทว่าหากถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาเซิ่งหลิน ชื่อเสียงของตระกูลฉินจะถูกทำลายอย่างป่นปี้ นั่นเป็นเรื่องใหญ่มากกว่า
ในขณะที่หลิ่วหงเหยียนรู้สึกวิตกกังวล ฉินเฟิงกลับคลี่พัดและหัวเราะเบา ๆ ราวกับว่าเป็นคนนอก
“แค่ร่ายบทกวีไม่ใช่หรือ? เรื่องง่ายดายเพียงนี้ มาทำให้พวกเจ้าเร่าร้อนกันเสียหน่อยดีกว่า…”
ทันทีที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น ทุกคนก็เบ้ปากด้วยความดูถูก
ขณะที่เฉิงฟายิ่งแสยะยิ้มกว้างและจงใจยั่วยุ “หากเจ้าผ่านการคัดเลือกรอบแรกได้ ต่อไปเมื่อข้าพบเจ้า ข้าจะเรียกเจ้าว่าท่านอาจารย์! แต่ถ้าเจ้าไม่ผ่าน…”
ในที่สุดฉินเฟิงก็สนใจข้อเสนอ เขายิ้มและหรี่ตาลง ก่อนกล่าวขัดจังหวะเฉิงฟา “เรียกข้าว่าท่านอาจารย์เท่านั้นเองรึ? แล้วเงินที่เจ้าเป็นหนี้ข้าก่อนหน้านี้เล่า?”
“เจ้า!”
เฉิงฟาโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่ว่าเขาจะทุกข์ยากเพียงใด ก็ไม่ต้องการให้ไอ้ขอทานฉินเฟิงผู้นี้มาช่วยจ่ายหนี้
แม้อยากจะหักล้างคำพูดของอีกฝ่ายทันที แต่เมื่อคิดว่าสามารถลากฉินเฟิงลงไปในน้ำได้ เฉิงฟาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลืนคำพูดและกัดฟันยอมทุ่มหมดหน้าตัก
“ดี! ถ้าเจ้าผ่านการคัดเลือกรอบแรก เจ้าจะได้รับเงินคืนทั้งหมด อะแฮ่ม ทั้งหมดเท่าใดนะ?”
ใบหน้าของเฉิงฟาเปลี่ยนเป็นสีแดง สถานการณ์นี้เท่ากับเขายอมรับโดยตรงว่าตนเที่ยวหญิงคณิกา บัณฑิตหญิงสองสามคนที่เคยสนใจเขาพลันคิดดูถูกในทันใด
ฉินเฟิงครุ่นคิดอยู่เสมอเกี่ยวกับเงินจำนวนมหาศาลสำหรับการขอบทกวีของหลิ่วหงเหยียน ดังนั้นเขาจึงแบมือไปตรงหน้าเฉิงฟาทันที “หนึ่งแสนตำลึงเงิน”
เฉิงฟาพ่นคำพูดออกมาด้วยท่าทางราวกับเห็นผี “เจ้าไม่เคยเห็นเงินหรือไร! นางฟ้านางสวรรค์จากที่ไหนจะมีมูลค่าถึงหนึ่งแสนตำลึงเงิน!”
ฉินเฟิงยักไหล่ “เจ้าลืมไปแล้วหรือ คืนนั้นเจ้าดื่มมากเกินไป ค่าใช้จ่ายเรือหรูทั้งหมดถูกหักเข้าบัญชีของเจ้า เป็นข้าที่ช่วยจ่ายล่วงหน้า”
“บัดซบ!” เฉิงฟาไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ
ทันทีที่พูดจบ เสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “ไม่เป็นไร! มีข่าวจากนายน้อยหลี่ว่าบทกวีที่เขาขอเซี่ยจิ้นซื่อมานั้น หากใช้ตอนนี้ก็จะไม่มีบทกวีสำหรับรอบคัดเลือกรอบที่สองและรอบชิง อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ใช้ตอนนี้ก็จะไม่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก ไม่ว่าเขาจะใช้ตอนไหนล้วนต้องตายอยู่ดี”
เฉิงฟาสงบลงในชั่วพริบตาและเอ่ยเสียงเย็น “ตกลง! แค่หนึ่งแสนตำลึงเงิน! ถ้าเจ้าไม่ผ่านก็ต้องให้ข้าหนึ่งแสนตำลึงเงินเช่นเดียวกัน!”
ขวับ!
ฉินเฟิงปิดพัดฉับ “ตกลง!”
เหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ที่เกิดเหตุถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนซ้อนกันอยู่หลายชั้น ทุกคนมาร่วมวงหลังจากได้ยินข่าว แม้แต่ผู้คุมสอบรอบคัดเลือกรอบที่สองก็มารวมตัวกันที่นี่
หนึ่งบทกวีหนึ่งแสนตำลึงเงิน หนึ่งคำมีค่าทองพันชั่งจริง ๆ
ใครจะกล้าเล่นพนันเช่นนี้หากครอบครัวไม่มีเงินเป็นแสน ๆ
มีเพียงหลิ่วหงเหยียนเท่านั้นที่กล้าเปิดปาก นางรีบคว้าฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว “เจ้าเด็กสิ้นเปลือง! บทกวีนั้นมีไว้ให้เจ้าผ่านการคัดเลือกรอบแรกไม่ใช่เพื่อให้เจ้าเดิมพัน! หนึ่งแสนตำลึงเงิน หากเซี่ยจิ้นซื่อผู้นั้นเต็มใจที่จะขายก็คงเพียงพอให้เจ้าซื้อเป็นสิบบทกวีแล้ว! ไม่ได้ ข้าจะ…”
“พี่หญิงรอง สงบสติอารมณ์ก่อน…”
แม้แต่ผู้คุมสอบก็ไม่คาดคิดว่าฉินเฟิงจะแต่งบทกวีดี ๆ ได้ เขาตกตะลึงไปชั่วขณะและหวนทบทวนความจำอย่างรวดเร็ว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็หันกลับมาและตะโกนบอกเพื่อนร่วมงาน “เร็วเข้า! รีบไปเอาพู่กันกับกระดาษมา!”
หลังจากได้รับพู่กันและกระดาษจากเพื่อนร่วมงาน ผู้คุมสอบก็รีบบันทึกบทกวีที่ฉินเฟิงขับออกมาเมื่อครู่นี้
หลังจากอ่านซ้ำเจ็ดแปดรอบก็ยื่นให้เพื่อนร่วมงานอย่างไม่เต็มใจและเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ดี… ดีมาก ขุนพลแกร่งยังหยัดอยู่คู่ศรัทธา ไม่ปล่อยให้ม้าซยงหนูข้ามยินชาน! เร็วเข้า รีบขึ้นไปส่งอาจารย์ใหญ่! เดี๋ยวก่อน!”
ผู้คุมสอบรีบหยุดเพื่อนร่วมงานและหันไปมองฉินเฟิง ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “ฉินเฟิงบทกวีนี้มีชื่อหรือไม่?”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นครุ่นคิด “เรียกมันว่า ‘ออกด่าน’ เถอะ”
ดวงตาของผู้คุมสอบเป็นประกาย ในขณะที่กรอกชื่อบทกวีลงบนกระดาษ เขาก็พึมพำด้วยเสียงต่ำ “ออกด่าน? เหมาะสมมาก!”
รอจนกระทั่งเพื่อนร่วมงานของผู้คุมสอบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนถึงหลุดออกจากภวังค์
การสนทนาอย่างออกรสเกิดขึ้นทั่วพื้นที่ในทันที
“ข้า… ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ บทกวีนี้เขียนโดยฉินเฟิงจริง ๆ หรือ? เป็นไปได้อย่างไร!”
“หากขุนพลแกร่งยังคงอยู่ ไม่มีวันให้ม้าชาวซยงหนูข้ามยินชาน… ช่างห้าวหาญยิ่งนัก!”
“หรือว่าฉินเฟิงมีความคิดความอ่านแล้วจริง ๆ”
“บทกวีที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการสอบชุมนุมกวีครั้งล่าสุดแลดูจืดชืดนักเมื่อเทียบกับ ‘ออกด่าน’ บทนี้!”
ทุกคนมองไปที่ฉินเฟิง ผ่านดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ฉินเฟิงไม่ได้หยิ่งผยองแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับสุภาพเรียบร้อย เขาไม่ได้แต่งบทกวี เป็นเพียงคนขนย้ายมันเท่านั้น
บทกวีที่มีชื่อเสียงทุกยุคสมัยของเจ็ดปรมาจารย์ เขาท่องจำมันได้ตั้งแแต่สมัยประถม!
หลิ่วหงเหยียนปิดปากของนาง ก่อนจะจ้องมองฉินเฟิงอย่างว่างเปล่าโดยไม่เอ่ยอะไรเป็นเวลานาน
บทกวีของเซี่ยจิ้นซื่อเมื่อเทียบกับ ‘ออกด่าน’ บทนี้สามารถโยนลงไปในคูน้ำเน่าได้เลย
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่นี้เจ้าเด็กนี่จะกำเริบเสิบสาน หรือว่าเริ่มมีความคิดความอ่านแล้วจริง ๆ?
[1] ใต้สะพานหน้าประตู ฝูงเป็ดว่ายผ่านมา : เพลงที่พวกเด็ก ๆ ใช้ขับร้อง
[2] ดวงจันทร์ส่องท้องนภาสง่าเด่น ฉินฮั่นเป็นเขตฐานทหารกล้า
ขุนพลแกร่งยังหยัดอยู่คู่ศรัทธา ไม่ปล่อยให้ม้าซยงหนูข้ามยินชาน : บทกวีอันเลื่องชื่อของหวังฉางหลิง (王昌齡) กวีคนสำคัญของราชวงศ์ถัง ต่อมารู้จักกันในชื่อเจ็ดปรมาจารย์ กวีบทนี้แสดงถึงความปรารถนาของผู้ประพันธ์ที่จะทำหน้าที่เป็นนายพลที่ดี ยุติสงครามชายแดนโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่มั่นคง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ