บทที่ 208 เขาไม่กลัวบ้างเลยหรือ?
เสิ่นชิงฉืออยากจะดึงมือออกตามสามัญสำนึก แต่เมื่อได้ยินดังนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะหยุดชะงัก และถามด้วยความสับสน “พนักงานขายรึ?”
ฉินเฟิงพยักหน้าราวกับโขกกระเทียมด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่าตนเองอยู่ไม่ไกลจากการเป็นผู้ประกอบการด้านสิ่งพิมพ์แล้ว “หนังสือในใต้หล้าล้วนยึดเมืองหลวงเป็นฐาน หนังสือใด ๆ ก็ตามที่ได้รับความนิยมในเมืองหลวง ย่อมมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า พี่หญิงใหญ่ ท่านเป็นสตรีมากพรสวรรค์แห่งเมืองหลวง คำพูดของท่านมีน้ำหนักอย่างยิ่งในแวดวงปัญญาชนที่นี่”
“ในอนาคตเมื่อใดก็ตามที่มีการตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่ หนังสือเล่มนั้นจะถูกส่งตรงถึงท่าน จากนั้นท่านก็แค่ช่วยขายให้กับปัญญาชนในเมืองหลวง”
ในที่สุดเสิ่นชิงฉือก็เข้าใจแผนการของฉินเฟิง นางออกแรงชักมือกลับ กลอกตาแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้า?”
ฉินเฟิงร้อนรน จำใจกล่าวว่า “ไม่ได้ช่วยเปล่า! ทุกครั้งที่ท่านขายหนังสือออกไปหนึ่งเล่ม ข้าจะให้ค่าธรรมเนียมแก่ท่าน ข้าให้ท่านสองร้อยอีแปะต่อฉบับปกติหนึ่งเล่ม และสองตำลึงเงินต่อฉบับปกแข็งหนึ่งเล่ม กำไรนี้ถือว่ามหาศาลแล้ว ท่านต้องรู้ว่าสำหรับกิจการร้านหนังสือ ปริมาณเป็นเรื่องสำคัญ”
เสิ่นชิงฉือไม่เคยสนใจเรื่องเงิน เงินหลายแสนตำลึงหรือเงินหลายสิบตำลึง สำหรับนางไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าน้องชายกำลังทำเงินเพื่อสร้างกองทัพใหม่และเพื่อประโยชน์ของแคว้นต้าเหลียง อีกทั้งการโปรโมตหนังสือก็เป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือ เสิ่นชิงฉือจึงตอบรับอย่างไม่เต็มใจ “ค่าธรรมเนียมช่างมันเถิด แต่เจ้ายังต้องรับปากข้าหนึ่งข้อ”
พี่หญิงใหญ่ไม่อยากได้เงิน? มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ในโลกด้วยหรือ?
ฉินเฟิงรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาถามอย่างรวดเร็ว “ท่านต้องการอะไรขอรับ?”
เสิ่นชิงฉือแค่นเสียง ‘หึ’ เบา ๆ ร่องรอยของความขุ่นเคืองผุดขึ้นในดวงตา “เจ้าให้คำสัญญาพิเศษกับฉีหยางจวิ้นจู่ไว้ใช่หรือไม่?”
คำสัญญาพิเศษ?
ฉินเฟิงได้สติทันที พลันกระซิบเสียงเบา “ลูกแก้วหลิวหลีน่ะหรือ?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูกแก้วหลิวหลี’ เสิ่นชิงฉือก็ถอนหายใจ นางเหยียดนิ้วหยกเขียว แล้วจิ้มหน้าผากของฉินเฟิงทันที “ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี? ในใต้หล้านี้ยังมีสิ่งใดที่เจ้าไม่กล้าสัญญาอีก? ลูกแก้วหลิวหลีเป็นของบรรณาการจากอาณาจักรตะวันตก ต่อให้เป็นลูกแก้วหลิวหลีที่แพร่กระจายในหมู่ราษฎร แต่ทั้งหมดก็ล้วนออกมาจากวัง นับเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่งยวด”
“ลูกแก้วหลิวหลีขนาดเท่าไข่นกพิราบหนึ่งลูก ก็มีราคาเริ่มต้นที่ห้าร้อยตำลึงเงินแล้ว”
“ตอนนี้ฉีหยางจวิ้นจู่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ นางบอกว่าเจ้าติดหนี้เครื่องแก้วนางอยู่สิบชั่ง สิบชั่งเชียวนะ! ข้าไม่สามารถจ่ายเลย ได้แม้ว่าจะขายหอวิจิตรศิลป์ก็ตาม”
นายน้อยเจ้าสำราญคิดในใจ ‘ก็แค่หินอ่อนที่แตก จากนั้นก็ทำให้มันดูเหมือนหยกมิใช่หรือ’
ไม่ใช่! หามีเครื่องหยกใดมีมูลค่ามากขนาดนี้!
ช่วงนี้ฉินเฟิงยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาทำลูกแก้วหลิวหลีจริง ๆ กระนั้น เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาที่ขุ่นเคืองของเสิ่นชิงฉือ เขาก็ตบหน้าอกรับประกัน “พี่หญิงใหญ่วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง! ก็แค่ลูกแก้วหลิวหลีไม่ใช่หรือ นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!”
ฉินเฟิงไม่พูดเช่นนี้ก็แล้วไปเถิด เพราะทันทีที่เขาพูดจบ ดวงตาของเสิ่นชิงฉือก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างรวดเร็ว “พูดง่าย!”
“ฉีหยางจวิ้นจู่ไม่เคยยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อเจ้าให้คำมั่นแล้ว นางจะต้องหาวิธีเอาคืนอย่างแน่นอน! อีกอย่าง เมื่อไม่กี่วันก่อนนางยังมาสร้างความวุ่นวายที่หอวิจิตรศิลป์ของข้ารอบหนึ่งแล้ว เจ้ามันหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก*[1] แต่ข้ายังต้องการรักษาหน้าตา เมื่อฉีหยางจวิ้นจู่มาสร้างปัญหาให้ข้า ปัญญาชนไม่น้อยก็กลัวจนไม่กล้ามาที่นี่”
“ฉะนั้น ไยเจ้าไม่ขอโทษนางอย่างจริงใจ แล้วบอกจวิ้นจู่ว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเล่า ดูซิว่านางจะยกโทษให้เจ้าได้หรือไม่…”
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของฉินเฟิงก็เข้มขึ้นทันที

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ