เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 24

บทที่ 24 จองตัวนางขับร้อง

เสิ่นชิงชวงสับสนไปชั่วขณะ สายตาของฉินเฟิงเต็มไปด้วยเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด ชายผู้นี้ไม่ต่างจากคนมักมากข้างถนน เมื่อครู่นางได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาตนเองแล้ว พฤติกรรมอันธพาลของนายน้อยฉินเปลี่ยนมุมมองของเสิ่นชิงชวงที่มีต่อเขาไปอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม…

นางกลับรู้สึกสบายใจ อย่างไรเสียตอนที่นางถูกอู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นรังแก เหล่าสุภาพบุรุษที่บอกว่าตนยึดถือหลักคุณธรรมต่างก็เฝ้ามองดูไฟไหม้จากอีกฟากฝั่ง*[1] มีเพียงนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้เท่านั้นที่ออกหน้าให้

หากอยู่ที่นี่ต่อ จ้าวฉางฟู่ นายน้อยอู๋ และนายน้อยอัน ย่อมไม่ปล่อยเสิ่นชิงชวงไปเป็นแน่

เสิ่นชิงชวงตัดสินใจเดิมพัน นางประคองสาวใช้คนสนิทเดินไปข้าง ๆ ฉินเฟิง ก่อนจะโค้งคำนับ “ขอบคุณนายน้อยที่ช่วยเหลือ ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง”

นายน้อยฉินไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ในเมื่อยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แปลว่าจะต้องมีแผนสำรอง เพียงแต่ตอนนี้เขามีธุระสำคัญจึงทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับ

สำหรับจ้าวฉางฟู่ เมื่อตอนนี้ฉินเฟิงมีภูเขาให้พึ่งพิงแล้ว ชายหนุ่มย่อมแผลงฤทธิ์แผลงเดช เขาตบเข้าที่หน้าผากเจ้าของหอเซียนเมามายในนามทันที

มีคำกล่าวว่า ศีรษะของชายชาตรีและเอวของสตรี สองสิ่งนี้ห้ามให้คนนอกแตะต้องเด็ดขาด

ทว่าฉินเฟิงไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มแค่ต้องการให้จ้าวฉางฟู่ชดใช้ที่บังอาจประมาทเขา แน่นอนว่า การทำให้อีกฝ่ายอับอายในที่สาธารณะยังไม่สาแก่ใจพอ หัวใจของนายน้อยตระกูลฉินเล็กเสียยิ่งกว่าตาไก่ เขาเลือกที่จะล้างแค้นทันที!

“นายท่านจ้าว ใช้ประโยชน์ช่วงสองสามวันนี้หาเงินให้มากหน่อยเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึงจะได้เลี้ยงดูทั้งครอบครัวไหว”

จ้าวฉางฟู่แปลความหมายในคำพูดฉินเฟิงออกทันที หอเซียนเมามายเป็นหอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อีกทั้งยังมีองค์ชายรองหนุนหลัง แล้วอย่างไรเล่า? แค่ทำให้ฉินเฟิงขุ่นเคืองยังทำไม่ได้เลย!

แม้จ้าวฉางฟู่จะไม่รู้ว่านายน้อยฉินไปเอาความมั่นหน้ามั่นใจมาจากไหนนักหนา แต่เขาก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นต่อหน้าหลี่จ้าน จึงได้แต่ก้มหัวลงและปล่อยให้อีกฝ่ายอวดเบ่ง

แขกที่อยู่รอบข้างต่างพากันก้มศีรษะ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง จนกระทั่งฉินเฟิงและหลี่จ้านไปจากหอเซียนเมามาย ทุกคนถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เสียงกระซิบกระซาบต่าง ๆ นานา ดังขึ้นเป็นระลอก ๆ ทันที

“ประหลาด ฝ่าบาทเกลียดบุตรเสเพลของบรรดาขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด เหตุใดจู่ ๆ ถึงเรียกนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้เข้าเฝ้า”

“จิ๊ พระทัยฮ่องเต้ยากคาดเดา อย่าพูดเหลวไหล! ที่แน่ ๆ หากเป็นการเรียกเข้าเฝ้าธรรมดา ส่งขันทีน้อยมาก็พอแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดขันทีหลี่ถึงกับต้องออกหน้าด้วยตัวเอง เรื่องนี้จักต้องมีเงื่อนงำเป็นแน่”

“ไม่แปลกใจเลยที่ฉินเฟิงจะกล้าอวดดีเยี่ยงนี้!”

เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบ ๆ จ้าวฉางฟู่ก็ยิ่งหน้าดำคร่ำเครียด เขาไม่รู้ว่าฉินเฟิงไปทำอะไรมา จึงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ ความแค้นในใจถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังไปนานแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ต้องรายงานองค์ชายรองก่อน

ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงก็มองไปที่เสิ่นชิงชวงราวกับกำลังจับผิด ชายหนุ่มพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า มองเสียจนเสิ่นชิงชวงขนลุกไปทั้งร่าง

สมกับเป็นอันดับต้น ๆ ของเรือนอี๋หง รูปร่างเช่นนี้ หน้าตาเช่นนี้ และกิริยาเช่นนี้ เหมือนกับที่นักแสดงละครตลกท่านหนึ่งว่าไว้ไม่มีผิด ‘น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม’ จริง ๆ

ฉินเฟิงมีเกณฑ์การให้คะแนนผู้หญิงอยู่ในใจ สำหรับหน้าตากับรูปร่างจะให้คะแนนแยกกัน หากหลิ่วหงเหยียนและจิ่งเชียนอิ่งได้คะแนนเต็มสมบูรณ์แบบ เช่นนั้นเสิ่นชิงชวงที่อยู่ตรงหน้า อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในระดับ ‘หัวกะทิ’

หากฉินเฟิงไม่ได้กำลังรีบร้อน เขาต้องพาแม่นางน้อยผู้นี้กลับบ้านเพื่อหารือเกี่ยวกับหัวข้อแหล่งกำเนิดทางชีววิทยาแน่ ๆ บางทีเขาอาจจะมีส่วนช่วยเพิ่มประชากรโลกนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ผู้หญิงทุกคนในที่เกิดเหตุต่างก็หน้าแดงหูแดง แม้แต่หลี่จ้านที่กำลังรออย่างอดทนก็ยังถูกฉินเฟิงยั่วเย้าจนต้องหันหน้าไปลอบหัวเราะ

ชายชราเคยเห็นอันธพาล ทว่าไม่เคยเห็นอันธพาลที่ซื่อตรงและไร้ยางอายถึงเพียงนี้

เสิ่นชิงชวงตื่นเต้นยิ่งนัก นางไม่ลังเลอีกต่อไป พาสาวใช้คุกเข่าลงคารวะทันที “ขอบพระคุณนายน้อยที่ช่วยข้าไว้ ข้าน้อยยินดีตอบแทนความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของนายน้อยด้วยชีวิตทั้งชีวิต”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของฉินเฟิงพลันเปล่งประกายวิบวับ “จริงหรือ? ข้าจะกลับบ้านและไปบอกพ่อตอนนี้เลย พวกเราจะแต่งงานกันทันที งงอะไร เมื่อครู่เจ้าไม่ได้พูดว่าทั้งชีวิตหรือ?”

“เอ๋?” เสิ่นชิงชวงเกือบจะซวนเซเพราะคำพูดเหล่านั้น นางเกรงอกเกรงใจนายน้อยตระกูลฉิน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เกรงใจนางเลยแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอของหลี่จ้าน ฉินเฟิงก็เลิกหยอกล้อและบอกเสี่ยวเซียงเซียง ชูเฟิง รวมถึงคนอื่น ๆ ให้กลับจวนไปก่อน จากนั้นเขาก็ตามหลี่จ้านไปที่พระราชวังต้องห้าม

เมื่อมองไปยังแผ่นหลังของฉินเฟิง สาวใช้ตัวน้อยก็กระซิบ “นายน้อยฉินท่านนี้เป็นคนแปลกเสียจริง เอ่ยปากครานึงพูดแต่เรื่องไร้สาระบ้า ๆ บอ ๆ”

อย่างไรก็ตาม เสิ่นชิงชวงส่ายศีรษะ กัดริมฝีปากบางแผ่วเบา “บ้า ๆ บอ ๆ นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในก็เป็นความจริงเช่นกัน บางคนหน้าเนื้อใจเสือ ทว่านายน้อยฉินกลับมีหน้าเสือใจเนื้อ กล่าวคือ ภายนอกเป็นอันธพาลแต่มีจิตใจบริสุทธิ์ เราทั้งคู่ได้รับความโปรดปรานจากเขา นับว่าเป็นโชคที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน”

ฉินเฟิงติดตามหลี่จ้าน ในใจก็คิดสงสัยไปด้วย ไม่รู้ว่าขันทีหลี่ยืนฉี่หรือนั่งยอง ๆ ฉี่…

ขณะกำลังครุ่นคิด จู่ ๆ ชายชราก็หันศีรษะกลับมา ทำเอาคนที่กำลังคิดพิเรนทร์ตกใจจนเซไปหนึ่งก้าว

[1] เฝ้ามองดูไฟไหม้จากอีกฟากฝั่ง : ยืนมองดูผู้อื่นประสบความหายนะโดยไม่ยื่นมือช่วยเหลือ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ