บทที่ 35 หนึ่งบทกวีสยบทุกชีวิต
เสิ่นชิงฉือมั่นใจในบทกวี ‘เมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวัน’ อย่างมาก แต่สิ่งที่เดิมพันกับฉีหยางจวิ้นจู่ใหญ่เกินไป นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวาย หากผิดพลาดแล้วต้องชดใช้ด้วยหอวิจิตรศิลป์ก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าขาของฉินเฟิงหักขึ้นมา นางจะอธิบายให้ท่านพ่อฟังได้อย่างไร?
เมื่อเห็นความลังเลของเสิ่นชิงฉือ ดวงตาของหลี่หนิงฮุ่ยก็แวววาว เอ่ยประชดทันที “เสิ่นชิงฉือ เจ้าคงไม่ได้กลัวกระมัง! ที่แท้ก็ดีแต่พูด ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าน่าจะพอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง จวิ้นจู่ นางผู้นี้รวมหัวกับฉินเฟิงหยามหน้าท่านต่อหน้าธารกำนัลแล้ว!”
ทันทีที่พูดจบ ฝูงชนที่รอกินแตงมานานก็เริ่มร้องโห่
“คุณหนูเสิ่น เป็นล่อหรือเป็นม้าก็จูงออกมาดู*[1] หน่อยเถิด”
“นั่นสิ เป็นถึงเจ้าของหอวิจิตรศิลป์และสตรีมากพรสวรรค์ผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองหลวง ความกล้าแค่นี้ก็ยังไม่มีหรือ?”
“ชิงฉือ เจ้าเข้าใจความปราถนาของจวิ้นจู่ แต่ไม่มีเวลาเขียนบทกวีหรือ? เช่นนั้น อธิบายให้นางกระจ่างแจ้ง แล้วขอเวลาให้มากกว่านี้หน่อยก็เป็นใช้ได้”
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยรอบตัว ใบหน้าของฉีหยางจวิ้นจู่ก็บิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ หากเสิ่นชิงฉือไม่สามารถให้บทกวีที่น่าพึงพอใจได้ ก็อย่ามาตำหนิที่นางไร้ความปรานี ในฐานะจวิ้นจู่ผู้เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ นางจะยอมให้คนอื่นมาหยามหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร!
“หึ! สุดท้ายแล้ว เจ้าก็เป็นพวก ภายนอกดูแข็งแกร่งภายในขี้ขลาด ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง! เด็ก ๆ มา…”
ขณะที่ฉีหยางจวิ้นจู่หมดความอดทนและกำลังจะสั่งให้คนมาทุบทำลายหอวิจิตรศิลป์ เสิ่นชิงฉือก็ยกกระดาษที่บันทึกบทกวีขึ้นมาระดับศีรษะ นางคลายนิ้วออกเล็กน้อย จากนั้นตัวอักษรล้ำค่าก็ค่อย ๆ เผยสู่สายตาคนจำนวนมาก
ในที่สุดคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินก็ยอมเปิดเผย
ตัวอักษรที่สง่างามของเสิ่นชิงฉือและกลอนล้ำค่าที่ฉินเฟิงลอกเขามาดึงดูดทุกสายตาให้ตกตะลึง
ขณะเดียวกัน น้ำเสียงใสสง่างดงามของเสิ่นชิงฉือก็ดังก้องไปทั่วหอวิจิตรศิลป์ “เมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวัน ควันธูปอบอวลกันในกระถาง วันฉงหยางเวียนวนกลับมา ข้ากางม่านนอนนิทราบนหมอนหยก ตกดึกอากาศเย็นปกคลุมทั่ว ดื่มด่ำริมรั้วทิศบูรพาจนพลบค่ำ กลิ่นหอมล้ำของดอกเบญจมาศเหลืองอบอวล จะไม่คร่ำครวญได้หรือ ลมพัดผ้าม่านในมือปลิวไสว ผู้อยู่หลังม่านไซร้บอบบางเสียกว่าบุหงางาม”
เสียงดังครึกโครมก่อนหน้านี้ เงียบสงัดลงในพริบตา
เหลือไว้เพียงเสียงที่ดังก้องช้า ๆ ทว่าสร้างความประทับใจยากจะลืม
นอกจากพวกผู้ติดตาม ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีความรู้ด้านกวีนิพนธ์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอ่านบทกวีอย่างลึกซึ้ง เพียงแค่ฟังรอบเดียวก็รู้คุณค่าของมันแล้ว และเพราะรู้คุณค่าเป็นอย่างดี ทุกคนจึงตกอยู่ความเงียบอันน่าขนลุกจนลืมเอ่ยชม
กระทั่งมีเสียงซุบซิบดังขึ้นจากนอกประตู บรรยากาศอันเงียบสงบของหอวิจิตรศิลป์ถึงได้มลายหายไป ปรากฏว่าผู้มาใหม่เป็นเหล่าบัณฑิตหญิงจากสถานศึกษาเซิ่งหลิน หลังได้ยินข่าว พวกนางก็รีบมุ่งหน้ามาที่นี่ เลยทันได้ยินบทกวีจากปากเสิ่นชิงฉือ ไม่นาน… เสียงวิเคราะห์วิจารณ์มากมายก็ตามมา
“ว้าว! บทกวีชั้นเยี่ยม! มีทั้งความเหงาและความเศร้าแทรกอยู่ระหว่างตัวอักษร ทำให้ผู้คนรู้สึกเห็นใจ! บทกวีนี้ต้องเขียนให้กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเป็นแน่ ขนาดพวกเราไม่เคยมีประสบการณ์ ยังอดรู้สึกร่วมไปด้วยไม่ได้เลย…”
“ควันธูปอบอวลกันในกระถาง ข้ากางม่านนอนนิทราบนหมอนหยก ดื่มริมรั้วทิศบูรพาจนพลบค่ำ กลิ่นหอมล้ำของดอกเบญจมาศเหลืองอบอวล ลมพัดผ้าม่านในมือปลิวไสว เหลือเพียงหญิงงามหลังม่านผู้บอบบางลงเท่านั้น… นี่เป็นประสบการณ์แบบไหนกันแน่ ต้องละเอียดอ่อนแค่ไหนถึงจะสามารถเขียนบทกวีที่ใจสลายเช่นนี้ได้ สมแล้วที่เป็นพี่หญิงใหญ่ของฉินเฟิง คุณหนูเสิ่นคู่ควรกับตำแหน่งสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเสียจริง!”
“บทกวี ‘ออกด่าน’ ของฉินเฟิงกล่าวถึงความซื่อสัตย์ในฐานะวีรบุรุษแห่งต้าเหลียง ส่วนบทกวีของคุณหนูเสิ่น ‘เมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวัน’ แสดงออกถึงอารมณ์อันละเอียดอ่อนของสตรีแห่งต้าเหลียง สุดยอด! บุตรหลานตระกูลฉินล้วนแต่เก่งกาจ ไยถึงมีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมที่น่าทึ่งถึงเพียงนี้!”
ขณะนี้ฉินเฟิงกำลังนั่งไขว่ห้าง แตะน้ำลายลงบนนิ้วพลางขยับลูกคิดเสียงดัง ลูกตาของเขาแทบจะกลายเป็นรูปตั๋วเงิน นายน้อยตระกูลฉินกระแทกเสียงอย่างตื่นเต้น “เจ็ดสิบสองตัวอักษร ฉีหยางจวิ้นจู่และหลี่หนิงฮุ่ยแบ่งกันคนละครึ่ง คำนวณแล้วมีมูลค่าถึงหนึ่งแสนแปดพันตำลึง ว้าว การหาเงินช่าง ‘ง่ายดาย’ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ขายแค่บทกวีก็พอแล้ว จะต้องทำการค้าไปทำไมอีก!”
ชูเฟิงและเสี่ยวเซียงเซียงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หัวเราะคิกคัก พลางคิดว่าภาพลักษณ์หิวเงินของฉินเฟิง ช่างไม่เข้ากันกับสถานที่สง่างามแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม เขาค่อนข้างน่ารักทีเดียว
ฉินเสี่ยวฝูยืนอยู่ข้างกายฉินเฟิงคอยเป็นสุนัขรับใช้อย่างรู้งาน เด็กหนุ่มประจบประแจงผู้เป็นนาย “ข้าอยู่มาหลายปี ไม่เคยเห็นใครที่แค่ขยับนิ้วไปมาก็หาเงินได้มากขนาดนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ในเมืองหลวงเลย ต่อให้หาดูทั้งต้าเหลียง ก็มีเพียงนายน้อยของข้าเท่านั้น”
“นายน้อย ความชื่นชมของข้าที่มีต่อท่านเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราด ราวกับน้ำท่วมแม่น้ำหวงที่อยู่เหนือการควบคุม” ฉินเสี่ยวฝูกอดต้นขาฉินเฟิงแน่น สีหน้าบ่งบอกว่าเป็น ‘คนขี้ประจบ’ ได้อย่างชัดเจน
แม้ฉินเฟิงจะรู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้ล้วนกล่าวเกินจริงแต่ก็ชอบใจมาก เขาลูบหัวบ่าวคนสนิท ก่อนจะดึงตั๋วเงินออกมาแล้วยัดลงในมือฉินเสี่ยวฝู ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าจริงจัง “พูดต่อไป! คำประจบสอพลอเป็นสิ่งที่ข้าชอบฟัง”
คนหนึ่งเป็นนายน้อยเจ้าสำราญ ส่วนอีกคนเป็นบ่าวขี้ประจบ
เมื่อเห็นนายบ่าวคู่นี้ ก็จะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘นายว่าขี้ข้าพลอย’ อย่างชัดเจน
ใบหน้าของเสิ่นชิงฉือมืดมนอย่างมาก
[1] เป็นล่อหรือเป็นม้าจูงออกมาดู : สิ่งที่มีจะดีหรือไม่ดีก็นำออกมาก่อน ผู้คนแยกแยะเองได้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ