เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 34

บทที่ 34 หนึ่งคำมีค่าทองพันชั่ง!

เสิ่นชิงฉือท่องมันเงียบ ๆ ในใจหนึ่งรอบ จากนั้นแก้มของนางก็แดงขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ในฐานะสตรี ทั้งยังเป็นสตรีที่มีความสามารถ นางเข้าใจคุณค่าของบทกวีบทนี้ดี

ความรังเกียจที่มีต่อฉินเฟิงก่อนหน้าลดลงไปมาก

เสิ่นชิงฉือรับบทกวีตัวอักษรยึกยือเหมือนต้นถั่วงอกมาไว้ในมือ นางกัดริมฝีปากบางแผ่วเบา “ฉินเฟิง พูดมาตามตรงนะ เจ้าเขียนบทกวีนี้เองจริงหรือ”

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของนาง ฉินเฟิงก็แช่มชื่นขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ชายหนุ่มต้องการใช้ความสามารถทางวรรณกรรมของตัวเองพิชิตใจพี่หญิงใหญ่ สตรีที่มีพรสวรรค์แห่งเมืองหลวง ใคร ๆ ก็รู้ว่า นางทั้งฉลาดและเย่อหยิ่ง!

เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ฉีหยางจวิ้นจู่พึงพอใจเท่านั้น แต่ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเสิ่นชิงฉือด้วย เพื่อเลือกบทกวีบทนี้ ใครจะรู้ว่าฉินเฟิงเสียเซลล์สมองไปตั้งกี่เซลล์

นายน้อยตระกูลฉินไม่กังวลแม้แต่น้อย เขาตบหน้าอก และเอ่ยออกมาอย่างเย่อหยิ่ง “ต้องเป็นข้าอยู่แล้ว!”

“พี่หญิงใหญ่ ท่านจำที่สัญญาเมื่อครู่ได้หรือไม่ ฮิฮิฮิ”

ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ เขาขยับตัวเข้าไปใกล้เสิ่นชิงฉือ “พี่หญิงใหญ่ ท่านไม่ต้องกังวล ต่อไปข้าจะดูแลท่านอย่างดีเอง!”

เมื่อสบเข้ากับสายตามุ่งร้ายของน้องชาย ความรู้สึกดี ๆ ในใจคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินก็หายไป นางชกหน้าอกฉินเฟิงและเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “บทกวีไม่เลว แต่เจ้าน่ะเลวยิ่งนัก อย่าเพิ่งได้ใจไป ฉีหยางจวิ้นจู่ยังไม่ได้พยักหน้ารับเลย!”

นายน้อยตระกูลฉินจับหน้าอกตัวเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พลางสะบัดแข้งสะบัดขาไปเรื่อยเปื่อย “ท่านไม่ทำตามสัญญา ๆๆๆ ข้าจะฟ้องท่านพ่อ!”

เสิ่นชิงฉือไม่มีเวลามาทะเลาะกับไอ้เด็กนี่ นางรีบคัดลอกบทกวีอย่างรวดเร็วจากนั้นก็กลับไปที่ห้องรับแขก

เมื่อเห็นว่าในที่สุดเจ้าของหอวิจิตรศิลป์ก็ออกมา ฉีหยางจวิ้นจู่ก็ตีหน้าเคร่งเครียด “ข้าคิดว่าเจ้ากระโดดหน้าต่างหนีไปแล้วเสียอีก! ให้ข้ารอนานขนาดนี้ ถ้าข้าไม่ได้ผลงานที่พึงพอใจ จุดจบของเรื่องจะไม่ใช่แค่การทำลายหอวิจิตรศิลป์แล้ว”

ครู่หนึ่งสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เสิ่นชิงฉือ

คนโดนจ้องสูดหายใจเข้าลึก สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับครั้งนี้ นางถามหยั่งเชิง “ขอเรียนถามจวิ้นจู่ บทกวีนี้สำหรับตัวท่านเองหรือสำหรับองค์หญิงใหญ่”

ทันทีที่ฟังจบ ท่าทีของฉีหยางจวิ้นจู่ก็อ่อนลงเล็กน้อย

หากเสิ่นชิงฉือถามคำถามดังกล่าวได้ หมายความว่าอีกฝ่ายวางแผนไว้แล้ว หากสตรีนางนี้มอบบทกวีที่ดีให้กับท่านแม่ได้ ครั้งนี้นางจะยอมปล่อยผ่านสำหรับหลี่หนิงฮุ่ย ฉีหยางจวิ้นจู่ไม่ได้ใส่ใจนัก

ฉีหยางจวิ้นจู่ตอบอย่างใจเย็น “ข้าต้องการนำไปมอบให้ท่านแม่”

หลังจากได้รับการยืนยัน เสิ่นชิงฉือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก บ่าที่หนักอึ้งมาตลอดผ่อนคลายลง ฉินเฟิง เจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นเดาถูกจริง ๆ

ความกังวลในสายตาคุณหนูใหญ่มลายหายไป นางกลับมามั่นใจอีกครั้ง “ในเมื่อจะขอให้องค์หญิงใหญ่ ไยจวิ้นจู่ไม่บอกกล่าวแต่แรกเล่า?”

“ก่อนหน้านี้มีความเข้าใจผิดมากมายเกิดขึ้น คนไม่รู้อาจจะคิดว่าหอวิจิตรศิลป์ของข้าไม่มีความสามารถแม้แต่จะเขียนบทกวีที่ดีออกมาได้”

เสิ่นชิงฉือหยิบบทกวีขึ้นมา มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ ครั้งนี้คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เมื่อนางเอ่ยบทกวีนี้ออกไป ต้องเกิดเสียงฮือฮาตามมาเป็นแน่ ฐานะของหอวิจิตรศิลป์ในแวดวงเหล่ากวีแห่งเมืองหลวงจะไม่สั่นคลอนอีกต่อไป

ขณะที่เสิ่นชิงฉือจะเปิดบทกวีขึ้นอ่าน ฉินเฟิงก็คว้าข้อมือนางไว้ก่อน

เสิ่นชิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยกระซิบ “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าจะทำอะไร!”

นายน้อยตระกูลฉินขยิบตาส่งสัญญาณ เป็นเชิงบอกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่ต้องใจร้อน

ชายหนุ่มคัดลอกบทกวีมามากมาย บทกวีพวกนี้ล้วนมีค่ามีราคา เหตุใดต้องมอบให้ฉีหยางจวิ้นจู่โดยเปล่าประโยชน์ ตราบใดที่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว ฉินเฟิงก็ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น

คนที่กินแตงอยู่รอบ ๆ มองหน้ากันไปมา พลางคิดว่าฉินเฟิงผู้นี้ต้องไม่เคยจับเงินมาก่อนแน่ ๆ บทกวีมีราคาหนึ่งแสนตำลึงเงิน นี่เป็นเรื่องตลกขบขันประจำชาติหรืออย่างไร?

หลี่หนิงฮุ่ยมองฉินเฟิงด้วยสายตาชั่วร้าย “บทกวีก็ไร้ค่า ยังกล้าคิดจะเก็บเงินมากถึงหนึ่งแสนตำลึงเงินอีก นายน้อยฉินไม่เคยเห็นเงินหรือ? เจ้ามันขอทานชัด ๆ!”

หลี่หนิงฮุ่ยไม่เพียงแต่เป็นลูกสาวบุญธรรมของเสนาบดีกรมคลัง แต่ยังมีศักดิ์เป็นพี่หญิงของหลี่รุ่ยด้วย ดังนั้นฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจนาง

ไม่ใช่แค่ต้องเสียเงินจำนวนมาก วันนี้นางต้องเสียหน้าด้วย!

ต่อหน้าทุกคน นายน้อยเจ้าสำราญหัวเราะพลางเอ่ย “เป็นขอทานแล้วอย่างไร? อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้ขโมย ไม่ได้ปล้นใคร! ข้าดีกว่าน้องชายเจ้าที่ติดเงินเรือสำราญของหอนางโลมก็แล้วกัน”

“น้องชายของเจ้าติดหนี้หอนางโลม ส่วนเจ้าก็หนี้ค่าบทกวี คานเพดานไม่ตรง คานพื้นด้านล่างย่อมบิดเบี้ยว*[1]”

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา เสียงหัวเราะจากรอบข้างก็ดังขึ้น

ใบหน้าของหลี่หนิงฮุ่ยเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด นางกำหมัดแน่น อยากจะกลืนฉินเฟิงทั้งเป็น แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้อีกฝ่าย คุณหนูหลี่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับ ‘อันธพาล’ ผู้นี้อย่างไร

เมื่อฉีหยางจวิ้นจู่ได้ยินว่าหลี่รุ่ยติดหนี้หอนางโลม นางก็พาลไม่ชอบหลี่หนิงฮุ่ยทันที นางสั่งให้อีกฝ่ายถอยออกไป ก่อนจะมองไปที่ฉินเฟิง “ถ้าบทกวีนั่นทำให้ท่านแม่ยิ้มได้ เงินแค่ไม่กี่หมื่นเหตุใดจะไม่จ่ายให้เจ้า แต่หากมันไม่ได้เรื่องละก็… ข้าจะไม่ได้ทุบแค่หอวิจิตรศิลป์ แต่จะทุบขาของเจ้าให้หักตามไปด้วย!”

ฉินเฟิงรีบหลบหลังเสิ่นชิงฉือทันที ชายหนุ่มทำท่าทางเป็นเชิงว่ากลัวแล้ว แต่ปากของเขากลับตอบรับอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ตกลงตามนี้!”

ชั่วพริบตา ความสนใจของทุกคนก็พุ่งไปที่เจ้าของหอวิจิตรศิลป์

[1] คานเพดานไม่ตรง คานพื้นด้านล่างย่อมบิดเบี้ยว : ผู้ใหญ่ระดับบนประพฤติมิชอบ ผู้น้อยระดับล่างก็จะเลียนแบบในทางเสีย เทียบสำนวนไทยคือ เจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ