บทที่ 364 เจ้ามาข้าไป
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหนิงหู่ใหญ่โตเช่นนี้ ฉินเฟิงพลันรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“สิบอีแปะต่อหนึ่งเซิง เงินหนึ่งตำลึงต่อหนึ่งต้าน เงินหนึ่งหมื่นตำลึงต่อหนึ่งหมื่นต้าน ปัญหาการคำนวณง่าย ๆ เช่นนี้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ? มีอะไรน่าประหลาดใจกัน”
“ข้ารู้ว่าราคาธัญพืชท้องถิ่นในถังซีอยู่ที่สี่สิบอีแปะต่อหนึ่งเซิง ปัญหาคือ ถ้าข้าจ่ายราคาสูงเพื่อซื้อธัญพืช ข้ายังต้องการใช้เจ้าหรือ? ข้าส่งบ่าวรับใช้คนใดสักคนไปทำก็ได้แล้ว”
เมื่อถูกฉินเฟิงด่าโครม ๆ เข้าเต็มรัก หนิงหู่ก็เกาหัวอย่างสับสนงุนงง
“ไม่สิ พี่ฉิน เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่?”
ฉินเฟิงกลอกตาพลางคิดว่า หนิงหู่เคยตีรันฟันแทงในสนามรบแล้วแท้ ๆ ตอนนี้กับเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้เขากลับไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มอธิบายอย่างอดทน “มีสงครามในอำเภอเป่ยซีใช่หรือไม่?”
หนิงหู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉินเฟิงถามอีกครั้ง “ทำสงครามต้องการเสบียงใช่หรือไม่?”
หนิงหู่ยังคงพยักหน้า
ฉินเฟิงหงายมือ “เช่นนั้นก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่รึ? สิบอีแปะก็เพียงพอที่จะซื้อธัญพืชตามมาตรฐานเสบียงปันส่วนทางทหาร”
คราวนี้ในที่สุดหนิงหู่ก็เข้าใจว่า นี่ใช่จะไปซื้อธัญพืชเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่ากำลังจะไปหยิบธัญพืชโดยอ้างว่าจะระดมเสบียงทหาร
พูดให้ดูเล็กน้อย นี่เป็นการรบกวนความสงบของประชาชน
พูดให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่เป็นเรื่องผิดวินัยทางทหาร หากทำก็แปลว่าจะต้องเสียสติไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าหนิงหู่ลังเล ฉินเฟิงก็เลิกคิ้วและจงใจยั่วยุให้ฮึกเหิม “ทำไม? เจ้าลำบากใจรึ?”
หนิงหู่กัดฟัน “ไม่ลำบาก! แม้ว่าจะมีความยากลำบากก็ต้องเอาชนะมันให้ได้”
ถูกต้องแล้ว!
เป็นทหารจะมัวห่วงหน้าพะวงหลังได้อย่างไร? มีอะไรเกิดขึ้นก็แค่จัดการให้สำเร็จ
ต่อให้ท้องฟ้าถล่มลงมาก็มีเขาฉินเฟิงค้ำมันไว้ ไม่มีทางโดนหัวของหนิงหู่อย่างแน่นอน
หนิงหู่หยิบตั๋วเงินขึ้นมาแล้วหันหลังจากไป ทว่าเขาออกจากร้านแต่ไม่ได้รีบไปที่ร้านค้าหวัง เพียงไปที่ลานเล็กข้างเรือนแทน
ตอนนี้อู๋เว่ยกำลังคลุมโปงนอนหลับอุตุอยู่ พลันเขาก็ถูกลากลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว
“ไป ตามข้ามาซื้อธัญพืช!”
อู๋เว่ยสับสน “หนิงเชียนฮู่*[1] ท่าทางเช่นนี้ของท่านไหนเลยจะเหมือนไปซื้อธัญพืช ข้าคิดว่าเหมือนจะไปปล้นธัญพืชเสียมากกว่า”
หนิงหู่ใบหน้ามืดครึ้ม “ไม่ต้องพูดมาก หากเจ้ามีข้อร้องเรียนใด ๆ ก็ไปหาฉินเฟิง! ทั้งหมดนี้เป็นความคิดแปลก ๆ ของเจ้าหมอนั่น”
แม้ลากอู๋เว่ยมาแล้วแต่หนิงหู่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เขาจึงลากหลี่หลางขึ้นเรือโจรไปด้วยอีกคน
ทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นพวกอารมณ์ร้อน เมื่อรวมกันพวกเขาก็เหมือนถังระเบิด เพียงแค่เฉียดใกล้ก็สามารถขู่ขวัญคนได้แล้ว หลังจากพวกเขาติดอาวุธครบมือก็ตรงไปที่ร้านค้าหวัง
ฉินเฟิงยืนอยู่ที่ประตู มองดูท่าทาง ‘เสียสละพลีชีพ’ ของทั้งสามคน พลันเขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ “ทำเป็นเรื่องใหญ่กันไปได้?”
ยามค่ำคืนค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา
ระหว่างทางที่แนวหน้าเป่ยตี๋จำเป็นต้องผ่านเพื่อจะไปเมืองหลวง
รถม้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ โดยอาศัยแสงตะเกียง
คนขับรถม้ามองดูคืนที่มืดมิดพลันรู้สึกไม่สบายใจ เขาจึงหันกลับมากระซิบกับคนด้านในรถว่า “ใต้เท้าขอรับ การเดินทางยามวิกาลเป็นเรื่องยาก ไม่สู้พวกเราตั้งค่ายใกล้ ๆ พักสักคืน แล้วค่อยเดินทางอีกคราครั้งรุ่งสางวันพรุ่งดีหรือไม่? ข้างหน้ามืดสนิท ยากจะแยกแยะสภาพถนนให้ชัดเจน หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ข้าน้อยคงรับไม่ไหว”
ทันใดเสียงของชายคนหนึ่งดังตอบมาจากรถม้า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วรีบเดินทางไปซะ!”
“หากถ่วงเวลาแล้วอาการบาดเจ็บของท่านแม่ทัพแย่ลง เจ้าต้องรับผิดชอบ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวของแพทย์ทหาร คนขับรถม้าจึงไม่กล้าที่จะร่ำไรอีกต่อไป เขาได้แต่กัดฟันรีบเดินทางต่อ
อาณาเขตเป่ยตี๋ตั้งอยู่บนที่ราบสูง อีกทั้งตอนนี้เป็นเวลาดึกดื่น อุณหภูมิจึงลดลงอย่างรวดเร็ว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ