บทที่ 363 พุ่งไปที่ต้นตอ
เมื่อมีคนหนึ่งพันสองร้อยคนประจำการอยู่นอกเมืองถังชี ฉินเฟิงจึงมีความกล้าที่จะลองดีเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง
อีกด้าน หลู่หมิงได้รับจดหมายเรียบร้อยแล้ว เขานำกองคาราวานห้าสิบคน บรรจุลูกกวาดที่ผลิตโดยโรงฝีมือของค่ายเทียนจีออกเดินทาง และน่าจะมาถึงเมืองถังชีในอีกไม่กี่วัน
เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ฉินเฟิงมายังที่แห่งนี้ เรื่องหยุมหยิมนั้นมีมากมาย เขาจึงอยู่ในร้านตลอดทั้งวัน
กระทั่งความมืดปกคลุมและร้านกำลังจะปิด ชายหนุ่มถึงรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ถนนที่พลุกพล่านด้านนอกกลับไม่ได้เงียบลงเลย!
เสี่ยวเซียงเซียงเองก็ตกใจมากเช่นกัน นางเดินตามติดฉินเฟิง มายืนอยู่ที่ประตูร้าน ดูภาพความคึกคักภายนอก
หนึ่งนายหนึ่งบ่าวราวกับคนบ้านนอกที่เข้าเมือง ไม่ว่ามองเห็นสิ่งใดพวกเขาล้วนรู้สึกแปลกใหม่
“คาดไม่ถึงเลย คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเมืองถังชีไม่มีกฎห้ามออกนอกบ้านในยามวิกาล ยามค่ำคืนก็ยังคงคึกคักเช่นนี้” ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เสี่ยวเซียงเซียงตื่นเต้นมากจนหน้าแดงก่ำเช่นกัน “ตอนอยู่ที่เมืองหลวง แม้ว่าบรรดาลูกหลานขุนนางจะเพิกเฉยต่อกฎห้ามออกนอกบ้านในยามวิกาลและเดินเที่ยวเตร่ในยามค่ำคืน ทว่าคนธรรมดาต่างไม่กล้าฝ่าฝืนกฎ ทุกคนล้วนพักผ่อนทันทีที่ฟ้ามืด แต่เมืองถังชีนี้ ตกกลางคืนนอนหลับกลับมิต้องใส่กลอน ในยามค่ำคืนยังคงคึกคักไปด้วยผู้คน มีชีวิตชีวากว่าเมืองหลวงไม่รู้กี่เท่า”
ไม่รู้ว่าจิ่งเชียนอิ่งปรากฏตัวข้าง ๆ ฉินเฟิงตั้งแต่เมื่อใด คุณหนูสี่เคยเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ย่อมได้เห็นอะไร ๆ มามากกว่าฉินเฟิง เมื่อมองดูฉากนี้ นางจึงยังสงบนิ่งนัก
“เมืองที่ใหญ่ที่สุดของเจียงหนานอย่างเมืองถังชีเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด หากไม่ใช่ด้วยสงครามแคว้นในปัจจุบันและมีหน่วยสอดแนมเป่ยตี๋มากเกินไป ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มากเพียงใด แม้แต่พ่อค้าตามถนนก็ล้วนเปิดร้านถึงยามจื่อ”
บ้าไปแล้ว!
เมื่อมองดูฉากนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย ราวกับว่าเขาได้ควักความทรงจำที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่ผ่านไปยาวนานกลับมา
ฉากกลางคืนที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ทำให้ฉินเฟิงนึกถึง ‘ตลาดกลางคืน’ ในชีวิตก่อน ตอนนี้เขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าจะเปิดแผงขายอาหาร แผงขายบาร์บีคิวหรืออะไรสักอย่างที่นี่เสียเดี๋ยวนี้
ดื่มไปพลางกินบาร์บีคิวไปพลาง แล้วก็คุยโวกับพวกพ้อง
ไม่เพียงแต่ฉินเฟิงเท่านั้น ยามนี้ทุกคนรอบตัวนายน้อยฉินต่างก็คร่ำครวญเสียงดังว่าควรจะมาที่ถังชีตั้งนานแล้ว ในช่วงครึ่งแรกของชีวิตกลับพลาดความตื่นเต้นมากมายเช่นนี้ไปเสียได้
เสียงจอแจของผู้คนทำให้ฉินเฟิงรู้สึกเลือดเดือดพล่าน เขาลอบตัดสินใจว่า เขาจะต้องแสดงความสามารถของตนเองในเมืองนี้ให้ได้
ทว่าถึงแม้จะน่าตื่นเต้นก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ฉินเฟิงหันหลังกลับเงียบ ๆ เขากลับไปที่ลานหลังแล้วนั่งลงที่โต๊ะหิน มือซ้ายถือพัด มือขวาเด็ดองุ่นใส่ปากเป็นครั้งคราว ดูไร้กังวลอย่างสิ้นเชิง
ช่วงเวลาเดียวกัน จู่ ๆ คนส่งสารขององครักษ์เสื้อแพรก็ปรากฏตัวขึ้น ยืนอยู่ตรงหน้าฉินเฟิงและรายงานการสืบสวนเกี่ยวกับเมืองถังชี
“เรียนนายน้อย มีชื่อร้านค้าใหญ่สี่ร้านในถังชีได้แก่ จาง หลี่ เฉิน และหวัง”
“ร้านค้าแซ่จางขายชาและน้ำตาลเป็นหลัก ร้านค้าแซ่หลี่ขายผ้าและผ้าไหมเป็น ร้านค้าแซ่เฉินขายเครื่องลายครามเป็นหลัก และร้านค้าแซ่หวังขายธัญพืชเพื่อเลี้ยงชีพขอรับ”
“ร้านค้าหลักทั้งสี่นี้มีขนาดใหญ่นัก หากสุ่มเลือกอย่างหนึ่งก็ไม่ด้อยไปกว่าหอการค้าเมืองหลวง ทว่าท้ายที่สุดแล้วพ่อค้าในเมืองหลวงก็อยู่ภายใต้เขตอำนาจของราชสำนักและถูกจำกัดในหลาย ๆ ด้าน กลับกัน พ่อค้าเจียงหนานไม่ต้องกังวลมาก ขอเพียงแค่มีเงิน จะปลุกผีขึ้นมาโม่แป้งให้ก็ย่อมได้ ขนาดของกิจการจึงเทียบไม่ได้กับพ่อค้าในเมืองหลวง”
ฉินเฟิงพยักหน้าและถามอย่างไม่ใส่ใจ “ตระกูลหลินเล่า?”
คนส่งสารโพล่งออกมา “ตระกูลหลินไม่ได้อยู่ในกลุ่มกิจการหลักสี่แห่ง แต่แยกออกมาตามลำพังขอรับ”
“เมื่อรวมกำลังทรัพย์ของการค้าหลักทั้งสี่แห่งเกรงว่าจะไม่ถึงหนึ่งในห้าของตระกูลหลิน กิจการของตระกูลหลินครอบคลุมทั้งชา น้ำตาล สุรา ผ้า เกลือ ธัญพืช เครื่องลายคราม และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่ากิจการสาขาใดก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้การค้าหลักของทั้งสี่ร้านค้าใหญ่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ร้านค้าใหญ่ทั้งสี่นี้เพียงกินของเหลือจากตระกูลหลิน และเป็นเบี้ยของตระกูลหลินเท่านั้น”
ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าจะเป็นกิจการใดในพื้นที่เจียงหนานจึงล้วนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินไม่มากก็น้อย
จะอธิบายตระกูลหลินว่า ‘ร่ำรวยจนเป็นศัตรูของแคว้น’ ก็ไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงเลยแม้สักนิด


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ