บทที่ 376 หลี่จ้านหวนคืนบ้านเกิด
หลี่จ้านแม้กายจะชราแต่สมองยังแล่นฉิว เขารู้ว่าบทสนทนาทั้งหมดระหว่างตนกับฉินเฟิง ถูกองครักษ์ชุดดำถ่ายทอดไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ทุกคำไม่ขาดตก
ก่อนหน้านี้ที่ฮ่องเต้ไม่ได้สนพระทัย ไม่ใช่เพราะเชื่อใจหลี่จ้าน แต่ด้วยเห็นแก่หน้าของฉินเฟิง
ทว่าบัดนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้ต้าเหลียงและฉินเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่จึงถึงเวลาที่จะต้องชำระบัญชีกับหลี่จ้านแล้ว
หลี่จ้านค่อย ๆ ยกมือขึ้นกำหมัดพลางเอ่ย “บ่าวชราไม่มีวันเต็มใจเป็นผักปลา”
ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนมาก แม้ว่าจะเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ แต่หลี่จ้านก็ยังคงต่อต้าน
ทว่าองครักษ์หลวงกลับไม่สนใจ แม้เขากำลังเผชิญหน้ากับหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งเมืองหลวง แต่ก็ยังคงทำท่าทาง ‘เชิญ’ เพื่อบอกเป็นนัยให้หลี่จ้านจัดการตัวเอง
หลังนิ่งสงบครู่หนึ่ง หลี่จ้านก็ลงมือทันที สองนิ้วประสานกัน โจมตีไปที่จุดฝังเข็มที่เปรียบดั่งประตูชีวิตขององครักษ์หลวง
องครักษ์หลวงไม่ได้หลบ ไม่ว่าหลี่จ้านจะโจมตีอย่างไร อย่าว่าแต่การป้องกันที่แข็งแกร่งของชุดเกราะเลย องครักษ์หลวงมีร่างกายอันยอดเยี่ยม
เมื่อนิ้วชี้โจมตีลงมา หากเป็นคนอื่นคงตายไปแล้ว
ทว่าองครักษ์หลวงกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ทันใดเขาคว้าข้อมือของหลี่จ้าน ในเวลาเดียวกันมืออีกข้างก็เหยียดออก บีบลำคอของชายเฒ่า “ท่านชราลงแล้ว”
หลี่จ้านอายุมากแล้วจริง ๆ หมัดจึงไม่ทรงอานุภาพเท่าครั้งเยาว์วัย แม้เขาจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการขององครักษ์หลวงได้
ในเวลาเดียวกัน องครักษ์หลวงอีกสามคนก็ก้าวมาข้างหน้า คว้าขาทั้งสองข้างและแขนซ้ายของหลี่จ้านตามลำดับ
ทันใดองครักษ์หลวงทั้งสี่คนออกแรงพร้อมกัน แล้วเสียง ‘กร๊อบ’ ที่คมชัดก็ดังขึ้น
ไม่มีหยดโลหิต นี่ถือเป็นการแสดงความเคารพครั้งสุดท้ายที่เมืองหลวงมีต่อบ่าวเฒ่าอย่างหลี่จ้าน
รถม้าอันหรูหราค่อย ๆ ขับออกไปจากประตูเมืองหลวง ในรถม้าบรรจุโลงไม้เคลือบสีดำขนาดใหญ่
ในโลงไม้เคลือบดำนั้นมีหลี่จ้านนอนอยู่
เงินสองแสนตำลึงที่ฮ่องเต้ประทานให้ รวมถึงเงินที่ฉินเฟิง ‘มอบให้’ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ถูกนำออกมาโดยองครักษ์หลวง พับเก็บอย่างเรียบร้อย วางไว้บนหน้าอกของชายชรา
ฝาโลงศพถูกปิด แล้วรถม้าก็มุ่งหน้าไปยังดินแดนบรรพบุรุษของหลี่จ้านอย่างเชื่องช้า
เวลานั้น องครักษ์ชุดดำที่ยืนอยู่บนประตูกำแพงเมืองก็ตะโกนลั่น “ขันทีหลี่เสียชีวิตแล้ว ส่งขันทีหลี่กลับคืนสู่บ้านเกิด!”
ช่วงขณะนี้เอง สายตาที่อยู่ไม่ไกลนักมองมา
องครักษ์หลวงเหลือบมองไปหนึ่งคราด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พวกเขากำลังจะหันหลังจากไป แต่กลับได้ยินชายคนนั้นตะโกนถามขึ้น “ข้าจะเป็นคนต่อไปหรือไม่?”
องครักษ์หลวงหยุดฝีเท้า เหลือบมองจากหางตา “ฉินสือฮู่ ระวังวาจา!”
ฉินเฟิงสอบปากคำหน่วยสอดแนมเป่ยตี๋ในค่ายเทียนจีเสร็จ กำลังจะกลับเข้าเมือง และเขาก็ได้เห็นฉากที่หลี่จ้าน ‘ถูกส่งไป’ เมื่อครู่นี้กับตาตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็กำหมัดแน่น
นั่นคือบ่าวชราที่อุทิศชีวิตให้กับราชวงศ์ต้าเหลียง ท้ายที่สุดแล้วกลับมีจุดจบเช่นนี้เองหรือ?
หรือว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะออกจากเมืองหลวงแห่งนี้ได้?
หากเป็นในอดีต ฉินเฟิงคงจะไม่มีวันขัดแย้งกับองครักษ์หลวง
แต่เมื่อเห็นหลี่จ้านกลับบ้านเกิดไปเช่นนี้ และนึกถึงเสี่ยวเซียงเซียงที่หมดสติอยู่ที่จวน ดวงตาของชายหนุ่มก็โกรธเกรี้ยว “ระวังวาจารึ!”
“เจ้าฆ่าหลี่จ้าน ข้าเห็นมันกับตาของข้าเอง!”
“หลี่จ้านเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ พวกเจ้ามีเจตนาอะไร? ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเจ้าจะเป็นกลุ่มก่อกวนราชสำนัก ร่วมมือกับหน่วยสอดแนมเป่ยตี๋!”
แทบจะทันทีที่ฉินเฟิงพูดจบ ทหารค่ายเทียนจียี่สิบนายก็ชักคันธนูออกมา ลูกธนูเจาะเกราะเล็งไปที่องครักษ์หลวงทั้งสี่
ฉินเฟิงจ้องไปยังองครักษ์หลวงแล้วถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนอยู่ในวังข้าเคยถามพวกเจ้าว่าองครักษ์หลวงแข็งแกร่งเพียงใด”
“แต่ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด นั่นก็เป็นแค่เรื่องของความเป็นระเบียบ!”
องครักษ์หลวงไม่แสดงสีหน้าใด ไม่กลัวคำขู่คุกคามของฉินเฟิงแม้แต่น้อย “ในเมือง องครักษ์หลวงไร้พ่าย นอกเมือง ทหารค่ายเทียนจีนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก แต่มันสำคัญด้วยรึ? ฉินเฟิงหรือเจ้าต้องการขัดรับสั่งของฮ่องเต้?!”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ