บทที่ 41 ป้ายทองเว้นโทษตาย
คราแรกฉินเฟิงคิดว่ามือปราบต้องการรางวัล เขาเกือบจะตบบ้องหูให้เป็นของกำนัลฉาดใหญ่แล้ว ทว่าโชคดีที่อีกฝ่ายรับปากทันท่วงทีจึงหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดไปได้
“นายน้อยฉิน หากมีคนจากกรมโยธาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เล่าขอรับ?”
ที่แท้เขาก็กังวลว่ากรมโยธาจะสอบถาม ฉินเฟิงลดฝ่ามือลงเงียบ ๆ เมินเฉยมือปราบ ชายหนุ่มกวาดตามองฝูงชนที่กำลังแทะเมล็ดแตง ไม่ว่าคนของกรมโยธาหรือหูตาของฮ่องเต้จะอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้หรือไม่ นายน้อยฉินก็เอ่ยออกมาอย่างไม่สนใจ
“ข้าจะให้ข้อแนะนำแสนประเสริฐแก่เจ้า รับรองว่ามากเกินพอที่จะจัดการกับกรมโยธา จำแปดคำนี้ไว้ให้ดี”
“ไป ให้ พ้น ไม่ งั้น เจ้า ตาย แน่!”
สิ้นคำ เสียงอึ้งปนตกตะลึงก็ดังขึ้นเป็นระลอก แน่นอนว่ามือปราบรายนั้นหน้าซีดด้วยความตกใจ
เหล่าลูกหลานกรมโยธาที่เบียดเสียดอยู่ในฝูงชนเม้มปากแน่น ก่อนจะเดินจากไปอย่างหดหู่
ทั่วทั้งเมืองหลวง เกรงว่าจะมีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่บังอาจไล่กรมโยธา หนึ่งในหกกรมใหญ่ของราชสำนักให้ไสหัวไปให้พ้นท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้
ไม่มีใครสงสัยว่าฉินเฟิงพูดจริงหรือเปล่า นายน้อยผู้นี้ไม่เพียงแต่มีนิสัยอวดดีเท่านั้น ทว่ายังมีอำนาจที่ทำให้หยิ่งผยองได้อย่างปากว่าอีกด้วย
ขนาดเหล่าบุตรหลานชนชั้นสูงของกรมคลังยังล้วนถูกฉินเฟิงกลบฝังอย่างอนาถเลย
ยามนี้นอกจากเชื้อพระวงศ์ จะมีใครกล้ายั่วโมโหนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้อีก
อีกทั้งกรมโยธายังเป็นกลางทางการเมืองมาโดยตลอด พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ตัวปัญหาอย่างบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมขุ่นเคือง เพียงเพราะหลู่หมิงที่เป็นนายช่างตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
หากกรมโยธาขัดใจฉินเฟิง อาจถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วมในข้อพิพาทของราชสำนัก พวกเขาเกรงว่า การสูญเสียครั้งใหญ่อาจเกิดขึ้นเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้
เมื่อคนจากกรมโยธาจากไปอย่างยอมจำนน ก็ไม่มีใครในที่เกิดเหตุกล้าทำอะไรหลู่หมิงอีก
หลู่หมิงกำตั๋วเงิน เด็กหนุ่มตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น จ้องมองไปที่ฉินเฟิงด้วยสายตามุ่งมั่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ แวบหนึ่งเขาคิดอยากจะคุกเข่าโขกศีรษะ และสาบานว่าจะไม่ทำให้นายน้อยต้องผิดหวัง
ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ฉินเฟิงก็หันหลังเดินจากไปแล้ว
หลู่หมิงถึงได้เข้าใจว่า เหตุผลที่ฉินเฟิงปกป้องเขาเป็นเพราะทักษะงานช่างที่เขามีติดตัว ตราบใดทำงานได้สำเร็จ นั่นถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ดีที่สุด
เมื่อเดินมาได้ไม่กี่ก้าว ฉินเฟิงก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มหันกลับไปตะโกนใส่หลู่หมิง “เฮ้! เจ้าคนนั้นน่ะ ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่ใด?”
หลู่หมิงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก่อนเขาจะทันได้ตอบ ฉินเฟิงก็เอ่ยขัดจังหวะ
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอยู่ที่หอสุราไปก่อนก็แล้วกัน เย็นนี้ข้าจะให้คนส่งพิมพ์เขียวมาให้ จงเริ่มงานให้เร็วที่สุดเสีย”
ขณะมองไปยังแผ่นหลังของนายจ้างหมาด ๆ ที่กำลังย่างก้าวอย่างเอ้อระเหย ทั้งยังผิวปากให้หญิงสาวจากตระกูลร่ำรวยที่เดินผ่านถนน หลู่หมิงก็ยังคงคุกเข่า และโขกหัวคำนับอยู่
เด็กหนุ่มไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับฉินเฟิง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันธพาล ลามกอนาจาร ใช้อำนาจข่มขู่ผู้คน หรือป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไปบ้าง ทว่าในใจของเขา ชายผู้นี้เป็นคนดี
เขาเป็นคนดีมาก!
พอกลับมาถึงบ้าน ฉินเฟิงกลัวว่าจะถูกหลิ่วหงเหยียนจับได้ ชายหนุ่มไม่กล้าหยุดพักแม้สักหนึ่งเค่อ เขาย่องกลับไปที่ลานด้านหลังทันที
ไม่กี่ลมหายใจก่อนหน้านี้ นายน้อยตระกูลฉินยังเป็นวัวสันหลังหวะ ก้มศีรษะโค้งเอวแอบคุณหนูรองอยู่เลย ทว่า…เมื่อเสี่ยวเซียงเซียงปิดประตูลานหลังบ้าน ฉินเฟิงก็ยืดตัวตรง เชิดหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างเย่อหยิ่งอีกครั้งทันที


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ