บทที่ 447 ลองด้วยตัวเอง
ฉินเฟิงถนัดวางกับดักในคำพูดที่สุด เห็นได้ชัดว่าหลิวปิ่งเกิดในตระกูลแม่ทัพ ความคิดความอ่านของเขาเรียบง่ายเกินไปจึงไม่เข้าใจอันตรายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนายน้อยเจ้าสำราญ
บางคนถึงกับดึงหลิวปิ่งเพื่อบอกให้เขารีบอธิบายโดยเร็วว่า กองทหารรักษาการณ์คือกองทหารรักษาการณ์ ส่วนเขาก็คือเขา ไม่มีทางเป็นหนึ่งเดียวกัน
น่าเสียดายที่หลิวปิ่งไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ แต่ยังผลักไสชายหนุ่มผู้หวังดีคนนั้นออกไปด้วย
“ฮึ่ม! เจ้ากลัวกระไร? พ่อข้าเป็นรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ ทายาทตระกูลแม่ทัพจะกลัวฉินเฟิงตัวเล็ก ๆ ได้อย่างไร?”
ฉินเฟิงปรบมืออย่างแรง เอ่ยยกย่องเสียงดัง “พูดได้ดี!”
“ทุกคนคงได้ยินกันหมดแล้ว หลิวปิ่งขู่ว่า แม้จะเป็นการขัดขวางสงครามก็จะตรวจสอบอย่างเข้มงวด ตอนนี้แคว้นกำลังเผชิญกับวิกฤต หลิวปิ่งเป็นผู้นำในการขัดขวางสงครามย่อมต้องถูกลงโทษ”
“อวิ๋นเอ๋อร์!”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าทันที แม้ปกติแล้วนางจะเข้มงวดกับฉินเฟิง แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางกลับเป็น ‘ภรรยาทำตามสามี’
ตราบใดที่ฉินเฟิงพูดหนึ่งประโยค เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็จะเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่ถามอะไรให้มากความ
ฉินเฟิงมองไปที่หลิวปิ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงดัง “ทหารของค่ายเทียนจีกำลังต่อสู้ในแนวหน้า ตอนนี้ข้างกายข้าไม่มีใครให้เรียกใช้จึงขอให้เจ้าช่วยแทน ผู้ขัดขวางสงครามทำให้แคว้นตกอยู่ในอันตราย ไม่เห็นค่าประชาชน ฆ่ามันซะ!”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ลังเล ดึงกระบี่ออกจากข้างเอวทันที
นับตั้งแต่ฉินเฟิงถูกเว่ยเซียวและผู้สมรู้ร่วมคิดลักพาตัวไป เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็เหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคน นางมักสวมเกราะติดกาย รับผิดชอบการคุ้มกันฉินเฟิงตลอด วันนี้นางก็สวมชุดเกราะ ห้อยกระบี่ข้างเอว ทำให้ดูสง่างาม อาจหาญอย่างมาก
เมื่อเห็นฉินเฟิงจะลงมือจริง ๆ หลิวปิ่งก็ถอยออกไปโดยเร็ว เขาตะโกนลั่น “ฉินเฟิง! ข้าเป็นบุตรชายของรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ เจ้ากล้าดียังไง!”
บรรดาบุตรหลานที่อยู่รอบตัวรีบส่งเสียงด่าทอเช่นกัน
“ฉินเฟิง! แม้หลิวปิ่งจะทำผิดร้ายแรง แต่ก็ไม่ใช่เจ้าที่จะตัดสินได้ เขาควรถูกส่งตัวไปศาลต้าหลี่!”
“ถูกต้องแล้ว ฉินเฟิง เจ้าจะใช้ศาลเตี้ยเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“หลิวปิ่งเป็นบุตรชายของฝ่ายกองทหารรักษาการณ์ ถ้าเจ้าฆ่าเขา ทหารรักษาการณ์จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”
“ค่ายเทียนจีย้ายไปอำเภอเป่ยซีแล้ว เจ้าอยู่เมืองหลวงเพียงลำพัง หากเจ้าเป็นศัตรูกับผู้แข็งแกร่ง เกรงว่าจะไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้อีก”
ไม่ว่าเขาจะเป็นคำดุด่าหรือห้ามปราม ฉินเฟิงก็ไม่สนใจพวกเขา
ยามนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของนายน้อยฉินหายไปแล้ว และแทนที่ด้วยดวงตาที่เฉียบคมอย่างยิ่ง
“ส่งไปที่ศาลต้าหลี่? เขาคู่ควรรึไร?!”
“พ่อเขาเป็นแม่ทัพ มีตำแหน่งขุนนางก็จริง แต่ตำแหน่งขุนนาง ส่งต่อให้ทายาทได้ตั้งแต่เมื่อใด ท้ายที่สุดแล้ว หลิวปิ่งก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา จัดการกับเขายังต้องให้ศาลต้าหลี่ยังออกหน้าอีกหรือ? ส่วนศาลาว่าการเจ้ากรมเมืองก็ยิ่งไม่จำเป็น! ข้าเป็นทูตพิเศษดูแลการสงคราม มีอำนาจจัดการกับใครก็ตามที่ส่งผลร้ายและขัดขวางการศึก!”
ความภาคภูมิใจบนใบหน้าของหลิวปิ่งค่อย ๆ หายไป แทนที่ด้วยความตื่นตระหนก
หลิวปิ่งไม่เคยคิดฝันว่าฉินเฟิงจะกล้าเพิกเฉยต่อแรงกดดันของกองทหารรักษาการณ์ และลงมือโหดร้ายกับเขา
เมื่อมองเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ที่ก้าวเข้ามาใกล้ หลิวปิ่งก็กลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าซีดเผือด
“ฉิน… ฉินเฟิง เมื่อครู่ข้าเพียงล้อเล่น เจ้าอย่าได้คิดจริงจัง”
“แคว้นกำลังเผชิญวิกฤต ตระกูลหลิวย่อมต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่”
“ข้า… ข้าจะสั่งการไปว่ากองคาราวานทั้งหมดที่ผ่านบริเวณกองทหารรักษาการณ์ จะได้รับอนุญาตให้ผ่านไปได้ทันที”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลิวปิ่งที่สับสนวุ่นวาย ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่?”
“คำที่พูดออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ยากจะเก็บคืน!”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ