บทที่ 451 ศึกชี้ชะตาใต้ราตรีกาล
พริบตาที่กองทหารม้าทมิฬปรากฏตัวที่ประตูค่าย พลหน้าไม้หกร้อยนายพลันระดมยิง แม้ว่าทุกอย่างจะมืดสนิทและไร้ความแม่นยำ แต่ลูกธนูราวกับห่าฝนระลอกแรกก็ตกลงมาสังหารกองทหารม้าทมิฬในจุดนั้นบาดเจ็บล้มตายนับสิบคน
ระยะของหน้าไม้เหนือกว่าพลธนูม้ามาก แม้ว่ารูปขบวนของกองทหารม้าทมิฬจะไม่ถูกรบกวน แต่หากต้องการตอบโต้ก็ต้องรุกเข้าไปในระยะการยิง เมื่อถึงเวลาที่กองทหารม้าทมิฬรุกคืบ หน้าไม้ก็ได้บรรจุลูกใหม่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นก็จะมีห่าธนูอีกระลอกหนึ่งพุ่งเข้ามา
เมื่อระยะทางใกล้ขึ้น อัตราการบาดเจ็บของกองทหารม้าทมิฬก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กองทหารม้าทมิฬมากกว่าห้าสิบคนถูกสังหาร
ขณะเดียวกัน กองทหารม้าทมิฬก็ตอบโต้
เนื่องจากทหารของเฉินซือล้วนเร่งรีบประจัญหน้า ไม่มีโล่ขนาดใหญ่ปกป้องพลหน้าไม้ เมื่อเผชิญกับฝนลูกธนูที่ปล่อยออกมาจากกองทหารม้าทมิฬ จำนวนของพวกเขาพลันลดลงครึ่งหนึ่งในพริบตา
พลหน้าไม้ที่เหลือทำได้เพียงล่าถอยอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่ากองทหารม้าทมิฬจะเทอะทะขนาดไหนก็ยังเป็นทหารม้า พลหน้าไม้ที่มีเพียงสองขาจะสลัดทิ้งไปได้อย่างไร?
ภายใต้การไล่ล่าของกองทหารม้าทมิฬ พลหน้าไม้ที่เหลือก็ถูกสังหารเช่นกัน
หลังจากสูญเสียทหารม้าเกราะเบาและพลหน้าไม้ไปอย่างต่อเนื่อง จุดจบของการต่อสู้ครั้งนี้ก็ได้ถูกกำหนดแล้ว ทหารราบที่เหลือเผชิญหน้ากับกองทหารม้าทมิฬเป็นเพียงการสังหารหมู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น
แม้ว่าแหลนจะสามารถทำลายเกราะได้แต่มันก็ไม่ได้ยาวเท่ากับทวน ดังนั้นการต่อสู้ระยะประชิดอย่างหุนหันพลันแล่นจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
แต่เฉินซือไม่สามารถถอยกลับได้ ทันทีที่สูญเสียค่าย ทหารรักษาการณ์ของอำเภอเป่ยซีจะต้องเดินทัพตรงเข้ามายังดินแดนเป่ยตี๋และซุ่มโจมตีทุกหนทุกแห่ง
ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร แนวหน้าก็ต้องมั่นคง!
เวลานี้เฉินซือยังคงมีทหารราบสามพันนายอยู่ในมือ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามก่อนที่ทหารม้าเกราะเบาจากค่ายทัพหน้าจะตามมาทัน
“ถ่ายทอดคำสั่ง ส่งทหารสามร้อยนายไปสกัดกองทหารม้าทมิฬ!”
แทนที่จะเรียกว่าสกัดกั้น ไม่สู้เรียกว่าใช้สามร้อยชีวิตเพื่อหยั่งเชิงและค้นหาว่ากองทหารม้าทมิฬเหลือลูกธนูกี่ลูกจะดีกว่า ขณะที่ทหารผู้กล้าหาญไม่หวั่นเกรงความตายสามร้อยนายรีบเร่งไปยังกองทหารม้าทมิฬก็ไม่เหนือความคาดหมาย กองทหารม้าทมิฬก็ยังคงยิงธนูกลับมาได้
เมื่อมองดูทหารมากกว่าหนึ่งโหลถือคบเพลิงรีบวิ่งไปที่กองทหารม้าทมิฬติด ๆ กัน แม้ว่าพวกเขาจะถูกทวนแทงตายในพริบตา แต่เฉินซือก็ได้รับข้อมูลที่เขาต้องการแล้ว
กองทหารม้าทมิฬมีลูกธนูเหลือน้อยมาก ไม่เช่นนั้นทหารเพียงสามร้อยนาย คงไม่อาจเข้าใกล้พวกเขาได้
เฉินซือไม่ลังเลอีกต่อไป เรียกหาหน่วยนกฮูกราตรีและถามด้วยเสียงต่ำ “เจ้าทำเรื่องที่ข้าบอกเสร็จแล้วหรือยัง?”
หน่วยนกฮูกราตรีประสานหมัดเอ่ยเสียงดังกังวาน “ข้าไม่กล้าละเลย ทว่าล่าหมาป่ากลางความมืด ยากลำบากยิ่งนัก ข้าจับได้เพียงสามตัวเท่านั้นขอรับ”
นับตั้งแต่ที่เขารู้ว่ากองทหารม้าทมิฬกำลังโจมตี เฉินซือรู้อยู่แล้วว่าด้วยกำลังคนไม่กี่คนที่เขามีเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดกองทหารม้าทมิฬ เขาจึงส่งหน่วยนกฮูกราตรีออกไป จับหมาป่าเร่ร่อนไปมารอบ ๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แม้จะห่างไกลจากสิบตัวที่เฉินซือเรียกร้อง แต่สถานการณ์ปัจจุบันเป็นเรื่องเร่งด่วน และเฉินซือทำได้เพียงลองดูสักตั้ง
“ปล่อย!”
เฉินซือออกคำสั่ง ทันใดหน่วยนกฮูกราตรีก็ปล่อยเชือกหมาป่า หมาป่าทั้งสามวิ่งตรงไปหากองทหารม้าทมิฬภายใต้การไล่ต้อนของหน่วยนกฮูกราตรี
จ้าวอวี้หลงได้ยินเสียงเห่าหอนของหมาป่าแล้ว คิ้วของเขาขมวดเป็นปม สองดวงตากวาดไปมาเพื่อค้นหาร่องรอยของหมาป่า และตอนเขาพบเงาสีดำสามเงา หมาป่าก็อยู่ห่างจากกองทหารม้าทมิฬไม่ถึงสองร้อยก้าวแล้ว!
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ