บทที่ 450 ทลายขบวนทัพ
“ท่านแม่ทัพ!”
ขณะที่รองแม่ทัพกำลังจะรายงาน…
เฉินซือโบกมือขัดจังหวะ สื่อว่าเขารู้ทุกอย่างแล้ว ยามนี้แม้ว่าทหารรักษาการณ์อำเภอเป่ยซีจะมาถึงค่ายในไม่ช้า เฉินซือก็ยังคงสงบ
“กองกำลังนำทัพของศัตรูเป็นทหารม้าหรือทหารราบ?”
หน่วยนกฮูกราตรีรายงานอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านแม่ทัพ กองทหารม้าทมิฬเป่ยซีนำขบวนรบ ทหารราบรั้งท้ายอยู่ด้านหลังขบวน และทหารม้าเกราะเบากำลังเคลื่อนไปในแต่ละทิศทาง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้พุ่งมาที่ค่ายของเรา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของเฉินซือก็ค่อย ๆ ขมวดเป็นปม เขาตะโกนออกคำสั่งทันที “ถ่ายทอดคำสั่ง จัดเตรียมกองทัพเพื่อประจัญบาน! ส่งทหารส่งสารไปรายงานที่ค่ายแนวหน้า และบอกให้ส่งทหารม้าเกราะเบามาสนับสนุนเพิ่ม คำสั่งทุกอย่างให้เร่งลงมือทันที กองทัพศัตรูครานี้มิได้มาดี เกรงว่าเพียงอึดใจเดียวก็สามารถตีแนวหน้าแตกเราแตกและบุกเข้าโจมตีดินแดนเป่ยตี๋ของเราได้แล้ว!”
หลังรู้ว่าอำเภอเป่ยซีทุ่มหมดหน้าตัก สีหน้าของรองแม่ทัพพลันเคร่งขรึมอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย รีบถ่ายทอดคำสั่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงช่วงเวลาหนึ่งถ้วยชา เสียงกระทืบเท้าอย่างหนาแน่นก็ดังมาจากระยะไกล
กองทหารม้าทมิฬแห่งเป่ยซีมาแล้ว!
ทหารราบเป่ยตี๋ที่ประจำการอยู่ในค่ายจัดตั้งแนวป้องกันอย่างเร่งรีบ แหลนและหอกหลายพันเล่มชี้ปลายออกด้านนอกอย่างพร้อมเพรียงกัน
กระนั้น ช่วงขณะที่พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าหนักที่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของทหารราบทั้งหมดก็พุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
เวลาเดียวกันทหารม้าเกราะเบาแปดร้อยนายภายในค่ายก็รีบออกจากค่าย ไปสกัดกั้นกองทหารม้าทมิฬเป่ยซี
แต่เนื่องจากเป็นการรบในเวลากลางคืน ทหารม้าเกราะเบาก็ต้องเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้วยหากไม่จุดคบเพลิง ขบวนทัพจะวุ่นวายเกินไป มีแนวโน้มจะเกิดเหตุเหยียบกันเองสูง เกรงว่าจะเละเทะยุ่งเหยิงเสียก่อนที่จะเข้ารบกับศัตรูด้วยซ้ำ แต่หากจุดคบเพลิงก็จะกลายเป็นเป้ามีชีวิต
ยามนี้กองทหารม้าทมิฬเป่ยซีอยู่ในความมืดมิด ครั้นพิจารณาจากเสียงเหยียบย่ำของกีบม้าก็พบว่า แม้จะอยู่ในความมืด แต่รูปแบบขบวนเป็นระเบียบทีเดียว
“ประหลาด! เห็นได้ชัดว่าเป็นการเดินขบวนตอนกลางคืนโดยไม่มีการจุดคบเพลิง ไยถึงรักษาขบวนให้เป็นระเบียบได้?”
ทหารม้าเกราะเบาบางคนประหลาดใจ พลันรู้สึกว่าความสามารถทางทหารของกองทหารม้าทมิฬเป่ยซีค่อนข้างขัดกับความรู้ทั่วไปนัก
หารู้ไม่ว่า กองทหารม้าทมิฬได้รับการฝึกฝนจากทั้งจ้าวอวี้หลง ทูตพิเศษของแคว้นที่ราบสูง รวมถึงฉินเฟิง พวกเขาแตกต่างจากทหารม้าธรรมดามานานแล้ว การได้ยินของมนุษย์อาจมีข้อจำกัด แต่การได้ยินของม้านั้นเฉียบคม พวกมันสามารถระบุทิศทางและจังหวะการเดินตามเสียงกระดิ่งของม้าที่นำอยู่ข้างหน้าได้
หากต้องการฝึกทหารม้า ก็จำต้องฝึกม้าศึกเสียก่อน
ครั้นทหารม้าเกราะเบาเป่ยตี๋เกือบแปดร้อยนายปรากฏตัวขึ้นภายในระยะการยิง และกองทหารม้าทมิฬที่อยู่รอบนอกก็เริ่มยิงสุ่มตามแสงไฟ
ในทางกลับกัน กองทหารม้าทมิฬกลับมืดสนิท ความแม่นยำของทหารม้าเกราะเบาแปดร้อยนายของเป่ยตี๋จึงลดลงอย่างมาก พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง ทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อก่อกวนกองทหารม้าทมิฬ…แม้จะไร้ความหมาย
กองทหารม้าทมิฬเพิกเฉยต่อการก่อกวนที่มีข้อจำกัดของทหารม้าเกราะเบา ความเร็วในการเดินทัพของพวกเขาลดลงเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ทหารทุกนายมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายหลักอย่างมีเป้าหมายชัดเจน
ทหารเป่ยตี๋ที่ถูกทิ้งไว้คุ้มกันค่ายมีเพียงห้าพันนาย และทหารม้าเกราะเบาแปดร้อยนายก็ถูกส่งออกมา เหลือทหารสี่พันสองร้อยนาย ทว่ามีทหารเพียงหนึ่งพันนายที่สามารถป้องกันในแนวหน้าได้
กองทหารม้าทมิฬเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ไม่ว่าจะชะลอหรือหยุด ล้วนสะดวกกว่าทหารม้าเกราะเบามาก
หลังจากไปถึงระยะการยิงแล้ว กองทหารม้าทมิฬไม่มีเจตนาที่จะพุ่งโจมตีขบวนแต่อย่างใด เพียงยิงธนูตรงไปยังศัตรูที่ถือแหลนและหอก
ค่ายชั่วคราวแห่งนี้ไม่มีกำแพงที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันลูกธนู
เกือบทั้งหมดประกอบด้วยแผงกั้นม้าและรั้วไม้เท่านั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับการยิงของกองทหารม้าทมิฬอย่างพร้อมเพรียงกัน ทหารราบในแนวป้องกันแถวแรกก็เริ่มอลหม่าน ทิ้งศพไว้มากกว่าร้อยศพและถอยกลับเข้าไปในค่ายอย่างรีบเร่ง
ในเวลาเดียวกัน กองทหารม้าทมิฬก็เคลื่อนตัวขยับรั้วกั้นม้าอย่างเป็นระเบียบ เปิดเส้นทางที่กว้างพอให้พรรคพวกตนเองผ่านไปได้และเดินเข้าไปในค่ายต่ออย่างช้า ๆ



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ