บทที่ 495 เข้าตาจน
ฉินเฟิงเดิน ๆ หยุด ๆ หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปด้วยความตึงเครียด ราวกับว่าถ้าเผชิญกับความกดดันมากกว่านี้อีกนิด เส้นประสาทของเขาจะขาดผึง
การซุ่มโจมตีนี้เริ่มต้นในตอนกลางคืน แต่กว่าฉินเฟิงจะหนีกลับไปที่เขตภูเขาชิงอวี้ก็เกือบจะรุ่งเช้าแล้ว เขาใช้เวลาทั้งคืนซ่อนตัวจากการปราบปรามของศัตรู
เมื่อมองไปที่ภูเขาชิงอวี้ที่ตระหง่านท่ามกลางขอบฟ้า ฉินเฟิงที่เหนื่อยล้าไม่เพียงแต่ไม่ผ่อนคลายลงเท่านั้น อารมณ์ของเขายิ่งหนักหน่วงและหดหู่มากขึ้น
“หากว่าในภูเขาชิงอวี้ ไม่มีคนอื่น ๆ นอกจากข้าจะทำอย่างไรเล่า?”
“หากกำลังคนทั้งสี่ร้อยห้าสิบคนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาถูกฆ่าหมดแล้วจะทำอย่างไร?”
ฉินเฟิงเดินกะเผลกไปทางภูเขาชิงอวี้ ในระยะทางแค่หนึ่งพันก้าวมีอะไรให้ครุ่นคิดมากมาย สมองของเขาสับสนวุ่นวาย แต่แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉินเฟิงก็ไม่นึกเสียใจ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ยังจะมาช่วยเหลือหนิงหู่และทหารค่ายเทียนจีโดยไม่ลังเล
ห่างจากภูเขาชิงอวี้ไม่ถึงสองร้อยก้าว สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าฉินเฟิงไม่ใช่หนิงหู่และทหารของเขา แต่เป็นทหารม้าของศัตรูที่วิ่งเข้ามาจากด้านหลัง
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดตลอดทั้งคืน กองพลพญาอินทรียังคงไม่ยอมแพ้เรื่องการค้นหาทหารที่หลงเหลืออยู่ ดูเหมือนต้องการจะฆ่า ‘ศัตรู’ ที่แทรกซึมเข้ามาในดินแดนให้หมดก่อนถึงจะยอมเลิกรา
เมื่อคิดดูแล้วก็ถูก
หากพวกเป่ยตี๋แทรกซึมเข้าไปในต้าเหลียง ฉินเฟิงจะนำทหารของเขาไปค้นหาและปราบปรามกองกำลังศัตรูทุกวิถีทางและสังหารให้สิ้นซากอย่างแน่นอน
ฉินเฟิงเกือบจะหมดแรง แต่เขาทำได้เพียงกัดฟันและอดทนเดินโซเซไปทางภูเขาชิงอวี้
อีกหลายร้อยก้าวกว่าจะถึงเชิงเขาชิงอวี้ ร่างของฉินเฟิงแทบจะแหลกสลาย ชายหนุ่มอาศัยกำลังใจทั้งหมดวิ่งไปข้างหน้าทีละก้าว แทนที่จะบอกว่าวิ่ง ไม่สู้เรียกว่าเดินโซเซไปข้างหน้าเสียจะดีกว่า
ทหารม้ากองพลพญาอินทรีหลายสิบนายที่ไล่ตามมาอยู่ห่างจากฉินเฟิงไม่ถึงหนึ่งพันก้าว ระยะห่างนี้เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาสำหรับทหารม้าเกราะเบาที่สามารถควบม้าได้อย่างรวดเร็ว
แปดสิบก้าว… เจ็ดสิบก้าว… หกสิบก้าว…
สติของฉินเฟิงเริ่มเลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ก้าวเท้าล้วนรู้สึกเหมือนหนักเป็นพันจิน เห็นได้ชัดว่าตีนเขาชิงอวี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม ตราบใดที่เขารีบวิ่งเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้หนาแน่นก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการไล่ตามของทหารม้าได้
แต่ระยะทางที่น้อยกว่าห้าสิบก้าวนี้ สำหรับฉินเฟิงแล้วกลับเป็นเหมือนเหวที่ยากจะข้ามผ่านไปได้
เสียงหัวเราะเยาะของทหารม้ากองพลพญาอินทรีก้องกังวานมาก
ฉินเฟิงค่อย ๆ หันกลับมามองดูทหารม้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าสิบก้าว ทหารม้าเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีสบาย ๆ และชะลอความเร็วลง ชายหนุ่มดึงดาบสั้นออกมาจากเอวเงียบ ๆ
เมื่อมองดูดาบสั้นที่น่าสมเพชในมือของฉินเฟิง ทหารม้าศัตรูก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้คนแคว้นต้าเหลียงกล้าหาญชะมัด รู้ว่าต้องตายแต่ก็ยังยกอาวุธขึ้นมาอีก พี่น้อง พวกเราปล่อยให้มันได้ไปสบาย ๆ ก็แล้วกัน”
“ดูการแต่งตัวของคนผู้นี้สิ ดูไม่เหมือนทหารค่ายเทียนจี เกรงว่าเขาจะเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยธรรมดาที่ต้าเหลียงส่งให้แทรกซึมเข้ามา มีความกล้าหาญเช่นนั้น นับว่าหาได้ยากจริง ๆ”
“แล้วอย่างไรเล่า? เขาก็เป็นแค่ลูกแกะที่รอความตายเท่านั้น!”
“เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าคนผู้นี้มีผิวหนังบอบบางเนื้อขาวละเอียด? ไม่เหมือนทหารที่กินนอน ใช้ชีวิตในสนามรบเอาเสียเลย?”
“หึ ๆ จริงด้วย! เจ้าหน้าขาวผู้นี้อาจจะเป็นบุตรชายของขุนนางที่มาเป็นแนวหน้าเพื่อสร้างผลงานกระมัง? คิดว่าคงหาเรื่องมาเป็นทหารรักษาการณ์ที่ชายแดนของต้าเหลียงเลยถูกส่งมาทำภารกิจที่ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเช่นนี้”
กลุ่มทหารม้าศัตรูไม่รีบร้อนที่จะฆ่าฉินเฟิง พวกเขาวนเวียนไปมารอบ ๆ พร้อมกับเยาะเย้ยด้วยสีหน้าขี้เล่นเหมือนแมววิ่งไล่หนู
ขุนพลหยาเจี้ยง*[1] ที่เป็นผู้นำคว้าสายบังเหียน บังคับม้าออกจากขบวนแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าฉินเฟิง ดวงตาเหยียดหยามของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ