บทที่ 564 ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง
องครักษ์หลวงจ้องมองฉินเฟิงอย่างเอาเป็นเอาตาย อยากจะฆ่านายน้อยหนุ่มให้ตายอย่างทรมาน
แต่ถ้าต้องฟันดาบลงไปจริง ๆ เขากลับไม่มีความกล้าเลยสักนิด
ทหารรักษาพระราชวังและทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ลอบตกตะลึง บัดนี้ฉินเฟิงถึงกับบ้าระห่ำ แม้แต่องครักษ์หลวงก็ทำอะไรเขาไม่ได้
จางซิวเย่ที่ซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ เห็นเหตุการณ์นี้กับตาตนเอง
แต่เดิมจางซิวเย่ก็อยากให้ฉินเฟิงแบกรับความผิดฐานบุกรุกพระราชวังต้องห้าม
เพียงแค่ปะทะกับองครักษ์หลวงก็เพียงพอให้เขาเจอปัญหาใหญ่แล้ว
แต่ผลปรากฏว่า…
ฉินเฟิงไม่เพียงไม่เกรงกลัวองครักษ์หลวง ทว่ายังตบเขาต่อหน้าธารกำนัล องครักษ์หลวงได้แต่อับอายขายหน้า
จางซิวเย่มองอย่างงงงวย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าช่างเหลือเชื่อเสียจริง
“ฉินเฟิงผู้นี้ ไม่ทราบว่ากลายเป็นขุนนางผู้มีอำนาจล้นฟ้าไปแล้วหรือ?”
“ถึงได้เข้าออกพระราชวังต้องห้ามราวกับที่นี่ไม่มีใครอยู่?”
ขณะนั้นเอง เสียงทุ้มลึกก็ดังมาจากห้องทรงพระอักษร
“ฉินเฟิง เข้ามา”
ได้ยินฮ่องเต้เรียกตัวเอง ฉินเฟิงยิ่งดีใจ
เขาตบเกราะไหล่ขององครักษ์หลวงเบา ๆ แล้วยิ้มเล็กน้อย
“ข้าตีเจ้า เจ้าก็ต้องยอมรับ”
“ไม่ลองมองดูหน่อยหรือว่า ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร? เจ้าเป็นแค่ทหารยามธรรมดา จะเทียบกับข้า ‘ขุนนางชั่ว’ ได้อย่างไร?”
องครักษ์หลวงขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม
ฉินเฟิงช่างเป็นคนที่คาดเดาได้ยากจริง ๆ
ใครจะมาเรียกตัวเองว่าขุนนางชั่ว? การกระทำของฉินเฟิงนั้นเป็นการกบฏต่อราชบัลลังก์ แต่เขากลับจงใจทำอย่างไม่เกรงกลัว
ผู้ชายคนนี้กำลังวางแผนอะไรกันแน่?
อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่า ตอนที่พูดคำว่าขุนนางชั่ว หัวใจของฉินเฟิงเองก็รู้สึกเศร้าโศกอย่างประหลาด
นายน้อยหนุ่มทุ่มเทเพื่อต้าเหลียงสุดความสามารถ ทว่าเพียงเพราะถูกฝ่าบาทสงสัยจึงต้องกลายเป็นขุนนางชั่วน่ารังเกียจ
จะซื่อสัตย์หรือชั่วร้ายก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของผู้อื่นเท่านั้น
คำว่าขุนนางชั่วนี้สะท้อนให้เห็นความเย้ยหยันและความจำนนของฉินเฟิง
เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
ทั้งห้องทรงพระอักษรมีเพียงฮ่องเต้เพียงผู้เดียวนั่งอยู่หลังโต๊ะมังกร ยังคงทรงพระอักษรเช่นเดิม
ฉินเฟิงปิดประตู เนื่องจากไม่มีคนอื่นอยู่ เขาจึงผ่อนคลายลง
ไม่จำเป็นต้องแสดงความจงรักภักดีเหมือนในท้องพระโรงอีกต่อไป และขณะเดียวกันก็ไม่ต้องหยิ่งผยองเหมือนตอนอยู่นอกประตูนั่น
เขากลับมาเป็นอิสระเช่นเดียวกับเมื่อก่อน
ชายหนุ่มเดินไปเดินมาในห้องทรงพระอักษร ชื่นชมของตกแต่งและของประดับต่าง ๆ
ว่ากันว่าฉินเฟิงเคยเข้าห้องทรงพระอักษรมาหลายครั้ง แม้แต่ตัวเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่
แต่ของตกแต่งในห้องนี้กลับดูใหม่เอี่ยมอ่อง
สำหรับการกระทำอันไร้มารยาทของฉินเฟิง ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ไม่ได้ใส่พระทัย
อย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางก็ขาดสะบั้นไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแสร้งทำอีก
จนกระทั่งตรวจทานฎีกาที่กองอยู่ตรงหน้าเสร็จ ฮ่องเต้จึงวางพู่กันลงแล้วบิดกายขับไล่ความเหนื่อยล้า
หยิบถ้วยชาที่เย็นชืดขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ให้ชุ่มคอ
เมื่อเห็นฉินเฟิงยืนอยู่ใต้ภาพเขียนบนผนังทางทิศเหนือ โดยที่ดวงตาเกือบจะถลนออกมา ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจึงสรวลเบา ๆ
“โหวฉิน ถ้าเจ้าชอบ เจิ้นจะยกให้เจ้าก็ได้”
ฉินเฟิงละสายตากลับมามองที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงพลางเกาหัวแกรก ๆ
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ข้าฟังไม่ผิดใช่หรือไม่ ฝ่าบาทเรียกข้าว่าโหวอย่างนั้นหรือ พระองค์เป็นฮ่องเต้ ข้าจะรับคำว่า ‘โหว’ นี้ไว้ได้อย่างไร”
“หรือว่าพระองค์ตั้งใจเยาะเย้ยข้า?”
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ