บทที่ 57 แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
หากฉินเฟิงต้องการจะแข่งขันกับหนิงหู่จริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะอย่างไรเขาก็ยังเยาว์วัย และอยู่ในช่วงคึกคะนอง ทว่าหัวข้อการแข่งขันควรเน้นจุดแข็ง หลีกเลี่ยงจุดอ่อนให้ได้มากที่สุด แต่บัณฑิตที่ไหล่หาบของไม่ได้มือถือของไม่ไหวอย่างฉินเฟิง กลับยืนกรานจะแข่งขันกับหนิงหู่เรื่องความแข็งแกร่งทางกายภาพ นั่นไม่เรียกว่าสมองถูกลาเตะ*[1] หรอกหรือ?
ตอนนี้แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ยังตื่นตระหนก นี่ไม่ได้เรียกว่างี่เง่าแล้ว แต่เรียกว่ารนหาที่ตายต่างหาก!
ยิ่งฉินเทียนหู่คิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโกรธมากเท่านั้น ด้วยกลัวว่าบุตรชายจะลากตระกูลฉินเข้าไปพัวพันด้วย เสนาบดีกรมกลาโหมลุกขึ้น รีบพุ่งไปยังบริเวณหม้อสามขา แล้วเตะเข้าที่บั้นท้ายของฉินเฟิง
เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน ฉินเฟิงจึงไม่ทันได้ปัดป้องใด ๆ เขาเกือบจะตกลงไปในหม้อต้มนั้นแล้ว!
ฉินเฟิงคิดว่าหนิงหู่เป็นคนประทุษร้ายตนเองจากด้านหลังจึงเปิดปากด่า “ไอ้สารเลว! ต่อหน้าฝ่าบาทยังกล้าลงมือ ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”
เมื่อหันกลับมา และเห็นใบหน้าเขียวคล้ำของฉินเทียนหู่ ฉินเฟิงที่กำลังจะพับแขนเสื้อขึ้นก็ตัวหดลงทันที ชายหนุ่มแสร้งยิ้มหน้าระรื่น “ท่านพ่อ ท่านเตะข้าทำไม? ต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ โปรดไว้หน้าข้าด้วย”
เดิมทีบรรดาแขกและสหายมาที่สนามเพื่อรอดูเรื่องตลกของตระกูลฉินอยู่แล้ว หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเฟิง เสียงหัวเราะเกรียวกราวท่วมท้นก็ดังขึ้นในทันที
แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเองก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เจ้าฉินเฟิงผู้นี้เป็นสมบัติอันดับหนึ่งของต้าเหลียงโดยแท้
ฉินเทียนหู่อยากจะบีบคอบุตรชายให้ตายใจจะขาด เขาเป็นขุนนางมานานหลายปี ไม่เคยรู้สึกอับอายถึงเพียงนี้
แต่เพื่อประโยชน์ของตระกูลฉิน ฉินเทียนหู่ทำได้เพียงระงับความโกรธในใจ ก่อนจะหันกลับมาโค้งคำนับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง “เจ้าลูกเนรคุณของตระกูลฉินดื้อรั้นยิ่ง อีกทั้งยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ริอาจประลองความแข็งแกร่งกับท่านโหวน้อย ทำให้ทุกท่านขบขันแล้ว กระหม่อมจะกลับไปสั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด ขอฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้ยกเลิกการแข่งขันครั้งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงย่อมไม่ทำให้เสนาบดีกรมกลาโหมต้องลำบากใจ ท้ายที่สุด หากชื่อเสียงของตระกูลฉินถูกทำลาย ล้วนแต่เป็นโทษและไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใดต่อตัวเขา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะตัดสินพระทัย ขุนนางชั้นสูงในสนามกลับขัดขึ้นเสียก่อน
ขุนนางฝ่ายกรมคลังตอบโต้อย่างรุนแรง
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังยืนตรงโค้งคำนับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มีคำกล่าวที่ว่า ‘กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ’ ในเมื่อฝ่าบาทมีบัญชาแล้วจะตรัสว่ายกเลิกง่าย ๆ ได้อย่างไร? ใต้เท้าฉินต้องการล่อลวงฝ่าบาทให้ตัดสินอย่างอยุติธรรมใช่หรือไม่?! เรื่องเล็กทำให้เสียการใหญ่ หากภายภาคหน้าพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน จะอธิบายกับราษฎรได้อย่างไร? ถึงเวลานั้น อำนาจของฮ่องเต้จะยังคงศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือ?”
เลขาธิการกรมคลังรีบผสมโรง “วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง ในเมื่อฉินเฟิงต้องการแข่งขันกับหนิงหู่เพื่อสร้างสีสันในงานวันนี้ นับว่าเป็นความตั้งใจดีของชนรุ่นหลัง หากรีบร้อนยกเลิกแล้ว พวกขุนนางชั้นสูงในราชสำนักที่สละเวลามารวมตัวกันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ความผิดฐานล้อเล่นกับฝ่าบาทและจี้อ๋องเล่า ตระกูลฉินจะชดใช้อย่างไร?”
เสนาบดีกรมคลังมิได้กล่าวซ้ำเติม ทว่าหว่างคิ้วกลับปรากฏความยินดียิ่งในความโชคร้ายของผู้อื่น
แม้ฉินเทียนหู่จะไม่ใช่ ‘ตาเฒ่ามากเล่ห์’ แต่ก็เป็นคนระมัดระวัง และละเอียดรอบคอบ อีกฝ่ายแทบไม่เคยทำผิดพลาดใด ๆ ในชีวิต ยากนักที่จะขัดขาเขาในราชสำนัก
แต่อำนาจของคนในใต้หล้านี้ขึ้นอยู่กับคำว่า ‘ชื่อเสียง’
เมื่อใดที่ชื่อเสียงของฉินเทียนหู่ถูกทำลายป่นปี้ ไม่ใช่เพียงต้องรับมือกับการโดนผู้คนหัวเราะเยาะเท่านั้น อิทธิพลในราชสำนักย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ด้วย เมื่อเวลานั้นมาถึง อำนาจฝ่ายเสนาบดีกรมกลาโหมจะต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเป็นแน่
ยิ่งเสนาบดีกรมคลังมองไปที่ฉินเฟิงมากเท่าไรก็ยิ่งชมชอบ ภายในใจก็ยกย่อง ‘ข้ากำลังกังวลว่าจะไม่สามารถโค่นฉินเทียนหู่ลงได้ ไม่คาดคิดว่านายน้อยแห่งตระกูลฉินจะเป็นฝ่ายยื่นมีดใส่บิดาเสียเอง ฮ่าฮ่าฮ่า!’
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ได้เอ่ยคำใด ๆ อีก เพียงเฝ้าดูสถานการณ์เงียบ ๆ เท่านั้น
ฉับพลันนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เมื่อทุกคนมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าเป็นเสียงของหย่งอันโหว หรือ หนิงชิงเฉวียนนั่นเอง!



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ