บทที่ 62 เพิ่มสีสัน
“ไม่ทราบว่าทั้งสามตระกูลมีความเห็นอย่างไร”
ฝ่ายพรรคพวกกรมคลังต่างมองหน้ากัน ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงว่า ฉินเฟิงเอ่ยประจบฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอยู่ตลอด หากพวกเขาต่อต้านเจตจำนงของฮ่องเต้ ยามนี้คงไม่ต่างอะไรจากหนามที่คอยตำตา พานจะทำให้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงขุ่นข้องหมองพระทัยไปเสียเปล่า ๆ
เสนาบดีกรมคลังกลั้นหายใจ หยัดกายลุกขึ้นเชื่องช้า แล้วโค้งคำนับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง “กราบทูลฝ่าบาท การแข่งขันครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องไร้สาระในหมู่เด็ก ๆ จะเพิ่มสีสันหรือไม่ ก็ให้พวกเขาตัดสินใจเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่รุ่ยที่กำลังเฝ้าชมความตื่นเต้นโดยไม่หวั่นเกรง พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะทักทายบรรพบุรุษของฉินเฟิงในใจ ‘เจ้าคนตัวเหม็น เจ้ากับหนิงหู่จะสู้กันจนตายก็สู้กันไปสิ เกี่ยวอะไรกับพวกข้าเล่า ไยไฟจึงลามมาถึงตัวข้าได้!’
เมื่อเห็นความลังเลของหลี่รุ่ย ฉินเฟิงจึงเร่งเร้า “เจ้ากำลังกลัวรึ หรือเป็นเพราะช่วงนี้เจ้าขาดเงิน เพราะใช้ไปกับการล่องเรือสำราญเสียหมดแล้ว?”
สิ้นประโยคนั้น หลี่รุ่ยก็อยากจะบีบคอฉินเฟิงให้ตายเสียทันที
ไอ้สารเลวนี่! ต่อหน้าฮ่องเต้ สิ่งใดควรไม่ควรล้วนกล้าพูดออกมาหน้าตาเฉย! ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งล่าสุดก็ไปมาตั้งเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ดูท่าเจ้าฉินเฟิงจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส เจ้านั่นเป็นอันต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเยาะเย้ยเขาอยู่เสมอ หลี่รุ่ยทั้งโกรธทั้งอับจนหนทาง
เสนาบดีกรมคลังขมวดคิ้ว ตะโกนเสียงต่ำใส่ฉินเฟิง “เรือสำราญอันใด นายน้อยฉินโปรดระวังคำพูดของเจ้าด้วย!”
ก่อนฉินเฟิงจะโต้กลับ ฉินเทียนหู่ก็โต้ตอบอย่างเย็นชาว่า “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลี่ไม่ได้พูดหรอกหรือ ว่า การประลองครั้งนี้เป็นเรื่องไร้สาระระหว่างเด็ก ๆ เจ้าในฐานะผู้อาวุโสเข้าไปแทรกแซงด้วยเหตุใดเล่า หากเจ้ากลัวก็แค่ยอมรับมาตามตรงก็พอ ไยต้องกล่าววาจาดุร้ายกับเด็ก นี่เจ้าลืมคำพูดตนไปเสียหมดแล้วหรือ?”
เสนาบดีกรมคลังย่อมไม่อยากโต้เถียงกับฉินเทียนหู่ต่อหน้าพระพักตร์ เขาแค่นเสียงในลำคออย่างเย็นชา จากนั้นก็ไม่ต่อปากต่อคำอีก
ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันอยู่นั้น เป็นหนิงหู่ที่ตอบรับฉินเฟิง เขาตะโกนเสียงทุ้มต่ำ “เดิมพันก็เดิมพัน! ฉินเฟิง เจ้าจำคำพูดท่านโหวอย่างข้าไว้ให้ดี คนอื่นอาจจะกลัวเจ้า แต่ข้าไม่!”
ฉินเฟิงชอบชายหัวรั้นผู้นี้มาก มีอีกฝ่ายอยู่ไยต้องกังวลว่าแผนของเขาจะโดนขัดขวาง? หากไม่กลัวว่าพ่อเสือน้อยตัวนี้จะกัดเข้า เขาคงยื่นมือออกไปลูบหัวสักสองสามทีเป็นรางวัลแล้ว
นายน้อยฉินไพล่มือไว้ด้านหลัง เอ่ยด้วยใบหน้าปีติยินดี “หย่งอันโหวยังมีชีวิตและแข็งแรงดีอยู่ ท่านโหวน้อยก็แทนตนว่า ‘ท่านโหวอย่างข้า’ แล้วรึ? หึ ๆ ไม่ใจร้อนเกินไปหน่อยหรือ”
หนิงหู่เกือบโมโหจนสิ้นลมเพราะวาจาของฉินเฟิง ในใจทั้งโกรธทั้งกลัว เขาเหลือบมองไปทางหนิงชิงเฉวียน ก่อนจะพบว่าบิดามีสีหน้าเรียบตึงเล็กน้อย อย่างไรเสียคำว่า ‘ท่านโหวอย่างข้า’ เมื่อครู่ ก็เหมือนกับการแช่งชักหนิงชิงเฉวียนให้ตายเร็ว ๆ เพื่อที่เขาจะได้สืบทอดตำแหน่งทางอ้อม
เฉิงฟาซึ่งติดร่างแหในการร่วมรับผิดชอบผลของการต่อสู้ครั้งนี้วิ่งเหยาะ ๆ ไปข้าง ๆ หนิงหู่ ก่อนจะเอ่ยเตือนด้วยเสียงต่ำ “ท่านโหวน้อย อย่ามัวทำสงครามน้ำลายกับคนผู้นี้เลย ไม่เช่นนั้น พูดมากไปจะแพ้เอาได้”
หนิงหู่เคยสัมผัสถึงความร้ายกาจของฉินเฟิงมาแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงรับคำแนะนำของบุตรชายเลขาธิการกรมคลัง
เมื่อตกลงเรื่องเดิมพันเสร็จสิ้น ฉินเฟิงยังคงไม่พอใจ เขาหันไปมองฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง พลันพูดขึ้นเสียงดัง “ฝ่าบาทจะทอดพระเนตรอย่างเดียวหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่สนใจเข้าร่วมสักหน่อยหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะลากเขาลงไปเกี่ยว แต่ในเมื่อเขาเดิมพันข้างฉินเฟิงตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่ใส่ใจนักหากจะต้องลงเพิ่มอีกสักหน่อย! หากชนะก็เกษมสำราญใจ แต่หากแพ้ก็แค่ให้ฉินเฟิงรับโทษ เขาไม่มีอะไรจะเสีย
“ในเมื่อวันนี้เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง เป็นวันมงคง ถือเป็นข้อยกเว้นพิเศษก็แล้วกัน เจิ้นอนุญาตให้เล่นพนันได้ แต่แค่วันนี้เท่านั้น!”
“เจิ้น ลงข้างฉินเฟิงหนึ่งพันตำลึงเงิน”
แค่หนึ่งพันตำลึงเงินรึ? ฉินเฟิงดูถูกอยู่ในใจ ตาเฒ่าคนนี้เป็นเพียงไก่เหล็กตัวผู้ ตระหนี่ถี่เหนียวยิ่งนัก


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ