บทที่ 61 ทำให้เรื่องใหญ่โต
เฉิงฟาก็ไม่ได้เกียจคร้านเช่นกัน เขายืนขึ้นและแสร้งทำเป็นโค้งคำนับฉินเฟิง “การประลองครั้งนี้เปรียบเหมือนการพิสูจน์ตัวเอง หากเจ้าไม่กล้าตอบรับ ก็หมายความว่าชัยชนะจากการแข่งขันก่อนหน้านี้เป็นเพียงการใช้ลูกไม้ ไม่ใช่ปัญญา เช่นนั้น จะตอบรับพระกรุณาธิคุณของฮ่องเต้ที่มีให้เจ้าอย่างล้นพ้นได้อย่างไร”
ฉินเฟิงรู้แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่เพียงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยังเอาหลักศีลธรรมมาอ้างด้วย เห็นได้ชัดว่า พวกเขาตั้งใจทำลายชื่อเสียงของตระกูลฉิน ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมรามือง่าย ๆ
เมื่อเห็นว่าหลี่รุ่ยและคนอื่น ๆ ร่วมมือกันจัดการตนเอง นายน้อยฉินก็ไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป ในเมื่อต้องการเล่นแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้าจนถึงที่สุดเอง!
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทอดพระเนตรสถานการณ์โดยรวม เขาลอบสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน ในฐานะฮ่องเต้แน่นอนว่าย่อมมีความสุขที่เห็นทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันซึ่งหน้า เมื่อเห็นว่าการประลองระหว่างฉินเฟิงกับหนิงหู่กำลังดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ พระองค์ไม่เพียงตั้งใจไม่หยุดยั้งเท่านั้น แต่ยังทำหน้าทำตาราวกับกำลัง ‘รอชมความสนุกสนาน’ อย่างปราศจากความกังวลใด ๆ อีกด้วย
“ฉินเฟิง เจ้ายินดีจะประลองกับหนิงหู่อีกครั้งหรือไม่?”
ไม่ว่านายน้อยฉินจะโง่แค่ไหน ก็ไม่โง่พอจะคิดว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังถามความสมัครใจของเขา ทางหนึ่งฝ่าบาทสามารถอุ้มชูเขาได้ แต่อีกทางหนึ่งก็สามารถโยนเขาลงไปที่พื้นได้เช่นกัน
เมื่อรู้ว่าตนเองไร้ทางเลือก ฉินเฟิงทำได้เพียงพยายามเป็น ‘ขุนนางกังฉิน’ ประจบเอาใจอย่างเต็มที่ “หากเป็นเพียงหนิงหู่ที่ต้องการแข่งขันกับกระหม่อม กระหม่อมย่อมไม่สนใจ แต่ในเมื่อตอนนี้ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง กระหม่อมย่อมไม่กล้าขัดพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นประโยคนั้น พรรคพวกเสนาบดีกรมคลังก็พากันเม้มปาก เด็กคนนี้ช่างสอพลอเก่งนัก!
แต่ฉินเทียนหู่กลับอารมณ์ดีอย่างมาก อย่างไรเสีย อยู่กับฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่กับพยัคฆ์ ต่อให้เป็นขุนนางขั้นหนึ่งเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่าบาทก็ยังรู้สึกเหมือนเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ หากฉินเฟิงรู้จักเชื่อฟังเจตจำนงของฮ่องเต้ ตระกูลฉินย่อมได้รับผลดีมากกว่าผลเสียอย่างแน่นอน เสนาบดีกรมกลาโหมระงับอารมณ์ของเขา ต้องการดูว่าครานี้บุตรชายจะทำอะไรอีก
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงพยักหน้า พึงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็แข่งขันกับหนิงหู่อีกครั้งเถิด ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจะต้องยอมรับ หากมีใครคัดค้านเจิ้นจะไม่นิ่งเฉยอีก!”
นี่ถือเป็นคำขาด
พรรคพวกของเสนาบดีกรมคลังตื่นตัวขึ้นมาทันที กำชับให้หนิงหู่ชนะการประลองครั้งนี้ให้จงได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ครั้งก่อนฉินเฟิงเล่นตุกติก เดิมหนิงหู่ก็อัดอั้นตันใจมากพออยู่แล้ว ท่านโหวน้อยจึงเดินไปที่หอคอยโดยไม่ลังเล เขาตะโกนถามฉินเฟิง “ยืนบื้ออะไรอยู่เล่า เริ่มได้!”
ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมองมา นายน้อยฉินก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อน พลางเอามือไพล่หลัง “รีบอะไร? รีบไปเกิดใหม่หรือ”
แม้ว่าหนิงหู่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เขารู้ว่าฉินเฟิงเป็นคนปากคอเราะร้าย แม้แต่คนเจ้าเล่ห์เช่นหลี่รุ่ยกับเฉิงฟายังไม่ใช่คู่ปรับของฉินเฟิง นับประสาอะไรกับเขา ท่านโหวหนุ่มทำได้เพียงต้องกลืนความคับข้องใจนี้ลงไป
ขณะที่ฉินเฟิงเข้าใกล้หอคอย เขาก็เรียกทหารรักษาพระองค์มา แล้วเอ่ยกำชับเสียงต่ำ
ทหารรักษาพระองค์รู้ว่าฉินเฟิงได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ พวกเขาจึงเคารพนายน้อยผู้นี้อย่างมาก ต่างพากันพยักหน้ารับทันที “นายน้อยโปรดวางใจ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่งอย่างดี”
เมื่อเห็นฉากนี้ หนิงหู่ก็รู้ว่าฉินเฟิงกำลังจะเล่นตุกติกอีกครั้ง
ทว่าหอคอยนี้สูงสิบจั้ง แม้คานงัดที่ใช้ก่อนหน้านี้ของนายน้อยฉินจะยังใช้การได้ แต่หากต้องการงัดฉินเฟิงขึ้นไปบนหอคอย ความยาวของคานอาจต้องสูงถึงหลายสิบจั้ง ไหนจะความทนทานของไม้ที่มีไม่พออีก เจ้าฉินเฟิงไม่มีทางทำคานงัดยาวขนาดนั้นได้แน่ หรือต่อให้ทำออกมาได้ ปลายไม้อีกด้านก็จะสูงเสียดฟ้า เช่นนั้น จะหาวิธีกดปลายคานอีกด้านลงมาได้อย่างไรเล่า?
จุดสำคัญที่สุดคือ ทหารรักษาพระองค์สามารถช่วยฉินเฟิงสร้างอุปกรณ์ได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถแทรกแซงการประลองได้
ดังนั้น ไม่ว่าอุปกรณ์ที่ฉินเฟิงสร้างขึ้นจะซับซ้อน และชาญฉลาดเพียงใด ก็ไม่สามารถดำเนินการได้โดยลำพัง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ