บทที่ 650 ยอมรับเสียเถิด
ผู้คนต่างรู้กันว่า ผู้ใดรู้กาลเทศะ ผู้นั้นย่อมเป็นยอดคน
ทว่าน้อยคนนักจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและหยุดความเสียหายได้ทันท่วงที
คนส่วนใหญ่มักคิดว่า พวกเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์ และกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ราบคาบ
แต่จ้าวลี่ตระหนักถึงจุดอ่อนของตัวเอง นับว่ามีไหวพริบ
“พี่จ้าว ข้าจะยั้งมือหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความจริงใจของเจ้า”
ฉินเฟิงตอบกลับเบา ๆ
จ้าวหลี่ไม่ลังเลสักนิด เขาพาจ้าวจ่านหันหลัง กลับไปทันที
มองตามหลังพี่น้องตระกูลจ้าวไป หนิงหู่ขมวดคิ้ว
“พี่ฉิน ข้าว่าควรฆ่าสองพี่น้องนั่นเสีย เจ้ากังวลอะไร”
ในสายตาของหนิงหู่ ไม่มีวิธีการใดใช้ได้ผลดีเท่าการใช้กำลัง
คน ‘กำปั้น’ ก็เป็นผู้ชนะ
มัวทำสงครามชิงผลประโยชน์ ล้วนแต่เสียเวลา
ฉินเฟิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาตบลงบ่าหนิงหู่ แล้วเดินเอามือไพล่หลังพลางอธิบายอย่างจริงใจ
“เจ้ามีกำปั้นแข็งแกร่ง แต่วันหนึ่งก็จะมีคนที่มีกำปั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้า”
“เรื่องการค้าต้องใช้สมองไตร่ตรอง การใช้แต่กำลังไม่ใช่เรื่องที่ดี”
“ถึงตอนนั้น ก็จะไม่ใช่สงครามการค้าแล้ว แต่จะกลายเป็นการแย่งชิงและปล้นสะดม”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องเลี้ยงผู้มีความสามารถทางการค้าและเหล่านักบัญชี หันไปเลี้ยงอันธพาลจะดีกว่า”
“ทำการค้า กว่าจะได้กำไรต้องใช้เวลาและไหวพริบ ไม่สู้ปล้นมาจะเร็วกว่า”
หนิงหู่ได้ฟังคำอธิบายของท่านฉินเฟิงก็เข้าใจ
ไม่น่าแปลกใจแล้วว่า ทำไมฉินเฟิงที่มีกำลังบดขยี้ตระกูลจ้าวได้ ถึงได้เดินหมากเล่นกับตระกูลจ้าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แม้วิธีเช่นนี้จะมีขั้นตอนซับซ้อนและชักช้า ไม่เหมาะกับหนิงหู่
แต่หนิงหู่รู้ดี ตราบใดที่ยังมีฉินเฟิงอยู่ ปัญหาเช่นนี้ย่อมไม่ตกมาถึงเขาแน่นอน
ฉินเฟิงหยุดยืนหน้าประตู มองพ่อค้าวิณิชที่ทยอยกันมา พลางถอนหายใจ
“ผู้อ่อนแอมักตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งเสมอ”
“พอตระกูลจ้าวล้ม ไม่นานก็จะมีตระกูลจ้าวผุดขึ้นมาแทนที่”
“หลักการของพ่อค้า มุ่งแสวงหาผลกำไร เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“ตระกูลฉิน แม้ตอนนี้จะแข็งแกร่ง แต่ย่อมรุ่งเรืองได้เพียงชั่วครู่ ไม่มีทางรุ่งเรืองสืบไปชั่วลูกหลาน จะยืนหยัดอยู่ถึงร้อยปีได้หรือไม่ ก็ยังไม่อาจรู้”
“หากแคว้นต้าเหลียงยังไม่เห็นความสำคัญของเหล่าพ่อค้าและราษฎร วันหนึ่งย่อมมีผู้มาตัดเส้นเลือดใหญ่ของแคว้นต้าเหลียงแน่”
ลิ่นจื่ออี๋ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ฉินเฟิงตั้งแต่เมื่อไหร่
พอเห็นแววตาสิ้นหวังของฉินเฟิง นางก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
ถ้าไม่ได้เห็นกับตา นางคงไม่เชื่อว่า นายน้อยอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงผู้เสเพล แท้จริงกลับเป็นผู้ที่กังวลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และความรุ่งเรืองของบ้านเมือง
ลิ่นจื่ออีเลื่อมใสในความสามารถของท่านฉินเฟิงที่สามารถจัดการตระกูลจ้าวให้อยู่หมัด ทั้ง ๆ ที่มาถึงเหยียนโซ่วได้ไม่ถึงวัน
และนางก็รู้สึกสงสารเขาด้วย
ฉินเฟิงยังเยาว์วัย แต่กลับต้องแบกรับภาระอันใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิด
“นายน้อย ข้ามีเรื่องอยากถาม ไม่รู้ว่าสมควรหรือไม่”
“ด้วยชาติกำเนิด ฐานะ และทรัพย์สมบัติของท่าน ชีวิตนี้ไร้ความกังวล ไยท่านต้องแบกรับภาระให้เหนื่อยใจเจ้าคะ”
ไม่ว่าคิดอย่างไร ลิ่นจื่ออี๋ก็ไม่เข้าใจริง ๆ
แม้แต่ฮ่องเต้ต้าเหลียง ยามเผชิญหน้ากับนายนอยฉิน ก็ยังต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
เขาสามารถเสวยสุขกับยศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่น
แต่เขากลับเลือกทางลำบาก อยู่เคียงข้างราษฎรผู้ยากไร้
ราษฎรต้าเหลียงล้วนมีมากกว่าสิบล้านคน
แม้ฉินเฟิงมีทรัพย์สินมากมาย แต่ก็ไม่อาจเพียงพอจะแบ่งให้ทุกคนได้
ได้ยินคำถามของลิ่นจื่ออี๋ ฉินเฟิงตอบอย่างไม่ลังเล
“เรื่องพวกนี้ ต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งลงมือทำ”
“ถ้ายังไม่มีใครคิดริเริ่ม เช่นนั้น ข้า ฉินเฟิง จะเริ่มเอง”
ถ้อยคำเรียบง่าย แต่กลับส่งผลกับลิ่นจื่ออี๋นัก ทำให้มุมมองของนางเปลี่ยนไปทันที
ชั่วขณะนั้น นางยิ่งเลื่อมใสในตัวฉินเฟิงมากขึ้นไปอีก

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ