บทที่ 69 โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
ทำความดีความชอบ ไม่ได้รางวัลอะไรก็แล้วไปเถิด แต่นี่ยังต้องมาโดนทุบตีอีก ฉินเฟิงรู้สึกว่าหัวใจของเขาบอบช้ำอย่างรุนแรง!
หลังพยายามหนีจากเงื้อมมือของพี่หญิงทั้งสาม นายน้อยฉินก็วิ่งกลับไปที่เรือนเล็ก ๆ ของเขาแล้วลงกลอนประตู ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเสี่ยวเซียงเซียงเพื่อหาความสบายใจ
แก้มของเสี่ยวเซียงเซียงแดงปลั่งดั่งดอกกุหลาบทันที นางโอบรอบศีรษะอันหนักอึ้งของผู้เป็นนายราวกับมารดาลูบหัวบุตร พลางกระซิบปลอบใจ
“บ่าวไม่เข้าใจการต่อสู้ในราชสำนัก และไม่รู้ว่าจะปกป้องครอบครัวอย่างไร แต่ก็เข้าใจว่าเมืองหลวงที่อยู่ใต้พระบาทของฮ่องเต้มีโอกาสไม่จำกัด แล้วก็ย่อมมีอันตรายอยู่ทุกหนแห่ง”
“แม้นายท่านจะเป็นขุนนางใหญ่ แต่หากต้องการความสงบสุขและความมั่นคงในระยะยาว ก็ไม่ต่างกับการเดินบนน้ำแข็ง นายท่านและพี่หญิงทำเช่นนี้ก็เพื่อนายน้อย ปกป้องไม่ให้..”
ก่อนที่เสี่ยวเซียงเซียงจะพูดจบ เสียงกรนก็ดังแว่วมา
เมื่อมองไปที่ฉินเฟิงซึ่งกำลังนอนหลับสนิท เสี่ยวเซียงเซียงก็ตกตะลึง แต่ในไม่ช้าสีแดงซ่านก็ปรากฏบนแก้มของหญิงสาว นางทำเพียงกอดเขาพลางตบหลังเบา ๆ ราวกับกำลังดูแลเด็กน้อยที่ไม่มีวันเติบโต
แม้ฉินเฟิงจะเป็นคนเสเพล หุนหัน ขี้โกง ไร้ยางอาย… แต่หลังจากอยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานาน เสี่ยวเซียงเซียงก็รู้ว่าคน ๆ นี้ยังคงเป็นคนดี เหมือนคำกล่าวที่ว่า ภายนอกเป็นผ้าฝ้ายเปื่อยเน่า ภายในห่อทองและหยก*[1]
ในเวลาเดียวกัน เสียงคำรามของหนิงชิงเฉวียนก็ดังก้องไปทั่วจวนหย่งอันโหว
หนิงชิงเฉวียนโกรธมากจนฟาดหลังหนิงหู่ด้วยแส้ ส่งผลให้ผิวหนังของท่านโหวน้อยถลอกไปหมด
“ไอ้ลูกสารเลว! เจ้าทำลายอนาคตตระกูลหนิงของข้าเพียงเพราะเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์! ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวง ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าเด็กฉินเฟิงมีฮ่องเต้ให้ท้าย? เลยไม่หวาดเกรงสิ่งใด เจ้าพูดมาสิว่าไปยุ่งกับมันทำไม!”
เลือดบนหลังของหนิงหู่หยดลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ชายหนุ่มกัดฟันกรอด แต่อย่างไรเสียเขาก็ฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก จึงฝืนไม่ส่งเสียงใดออกมา
ความอัปยศอดสูทั้งหมดในวันนี้เป็นเพราะเจ้าฉินเฟิง!
หนิงหู่สาบานว่าชีวิตนี้เขาจะไม่อยู่ร่วมฟ้ากับฉินเฟิง อย่าให้เจ้านายน้อยเจ้าสำราญมาตกอยู่ในมือของเขาเชียว ไม่เช่นนั้นเขาจะทำให้เจ้านั่นรู้ซึ้งว่าอยู่ไม่สู้ตายเป็นอย่างไร!
เพียะ!
หนิงหู่ถูกแส้ฟาดลงมาอีกครั้งหนึ่ง เหงื่อกาฬไหลด้วยความเจ็บปวด เขากำหมัดแน่นไม่ยอมร้องขอความเมตตา
เมื่อเห็นท่าทางไม่ยอมของบุตรชาย ความโกรธของหนิงชิงเฉวียนก็จางหายไปมาก เขาโยนแส้ลงไป ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พลางถอนหายใจ
ตอนนี้ตระกูลหนิงตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าเด็กแซ่ฉินแล้ว!
ฮูหยินเอกที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง นางรีบเข้าไปเอ่ยรับหน้า
“ท่านพี่ ท่านเป็นถึงท่านโหว ไยต้องโกรธแค้นคนธรรมดาสามัญอย่างฉินเฟิงด้วยเล่า แม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา ตำแหน่งของท่านก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ตำแหน่งขุนนางของตระกูลฉินอาจจะหลุดมือไปเมื่อใดก็ได้ ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย ในภายภาคหน้า…”
ก่อนที่ฮูหยินเอกจะพูดจบ หนิงชิงเฉวียนก็ขัดจังหวะด้วยเสียงตะโกนว่า “ความเห็นของสตรี!”
“วันนี้ข้าถูกฉินเฟิงยั่วยุจนหมดท่า อย่างไรบรรดาศักดิ์ของตระกูลหนิงก็คงสืบต่อมาแค่รุ่นของข้าเท่านั้น ต่อไปจะสืบทอดให้หนิงหู่ได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้แน่ชัด!”
“ตระกูลหนิงของข้าหาใช่เชื้อพระวงศ์ ก็แค่ตำแหน่งโหวต่างสกุล จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรเล่า”
“การศึกกับเป่ยตี๋ครั้งนี้ ตระกูลหนิงและกรมคลังร่วมมือกันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อยับยั้ง โดยอ้างว่าคลังสมบัติของแคว้นว่างเปล่า นี่ก็ถือว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฮ่องเต้แล้ว”
“การเดิมพันบ้า ๆ วันนี้ ไม่ใช่แค่เงินหนึ่งแสนตำลึงที่เสียไป เห็นได้ชัดว่าเราสูญเสียรากฐานของตระกูลหนิงทั้งหมดในราชสำนักไปแล้ว!”
ดวงตาของฮูหยินเอกเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เงินแค่แสนตำลึงเงินเท่านั้น ไม่ใช่ว่าตระกูลหนิงของเราไม่สามารถจ่ายได้เสียหน่อย”
สิ้นประโยคนั้น หนิงชิงเฉวียนก็โกรธมากจนโยนถ้วยชาลงบนพื้นอย่างแรง เขาตะโกนตอบ “ทรงผมยาว แต่ไร้ความรู้*[2] เจ้าจะไปรู้อะไร!”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ