บทที่ 68 ปากวอนหาเรื่อง
ท่ามกลางเสียงชื่นชมอย่างไม่เต็มใจ งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋องก็จบลง ขุนนางกรมคลังสะบัดชายแขนเสื้อจากไป ส่วนหนิงหู่คอตกราวกับเสือป่วย
ในทางกลับกัน จี้อ๋องมาส่งฉินเฟิงกับบิดาเป็นการส่วนตัวถึงประตูจวน จากนั้นจึงกล่าววาจาแฝงนัยบางอย่างกับฉินเทียนหู่
“ใต้เท้าฉิน นายน้อยบ้านเจ้ามีความสามารถ ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ นี่เป็นโชคลาภของตระกูลฉิน แต่ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น’ ศัตรูในราชสำนักอาจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล”
ฉินเทียนหู่ย่อมเข้าใจความหมายของจี้อ๋อง
การฉีกหน้ากรมคลังของฉินเฟิงในวันนี้เป็นเรื่องเล็ก การทำศึกกับเป่ยตี๋ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การเคลื่อนไหวครั้งนี้ต้องกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของคนบางกลุ่มอย่างแน่นอน แต่คนเหล่านี้ยังห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่า ‘ขุนนาง’ ได้
ฉินเทียนหู่ประสานมือแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “ขอบคุณจี้อ๋องที่เตือน กระหม่อมจะจดจำไว้”
จี้อ๋องเหลือบมองฉินเฟิงที่กำลังอ่านลายมือให้สาวใช้อยู่ไม่ไกล ความเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขาจางหายไป แทนที่ด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “สุขุมรอบคอบจึงแล่นเรือหมื่นปีได้ ใต้เท้าฉินอย่าได้กังวลเกินไป ฉินเฟิง เจ้าเด็กคนนี้มีนิสัยแปลกประหลาดแตกต่างจากคนปกติ มีแววว่าจะเป็นอัจฉริยะแล้ว”
ฉินเทียนหู่รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้จากจี้อ๋อง ระหว่างทางกลับบ้านเขาไม่ได้ทุบตี หรือดุด่าบุตรชายอีก เพียงเฝ้ามองด้วยรอยยิ้ม
แต่นั่นกลับทำให้ฉินเฟิงหวาดกลัวมากจนอยากจะกระโดดลงจากรถ เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านพ่อ ข้าทำอะไรผิดหรือไม่ หากท่านไม่ชอบอะไรก็บอกมาตามตรงเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็บ้า ๆ บอ ๆ ไม่เปลี่ยนอยู่แล้ว ท่านอย่าเก็บมันไว้ในใจเลย อย่าอัดอั้นเสียจนเป็นอะไรขึ้นมา”
รอยยิ้มบนใบหน้าฉินเทียนหู่หายไปทันที เขาส่งเสียงในลำคอเบา ๆ “วันนี้ถือว่าเจ้าได้ทำดีชดใช้ความผิดแล้ว ไม่ต้องลงโทษแต่ก็ไม่มีรางวัล”
เมื่อตระหนักว่าเขาไม่ต้องถูกทุบตีอีก ฉินเฟิงก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มเอนตัวพิงรถม้า และพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “ไม่ได้รางวัลก็ช่างเถิด ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ของท่านข้าไม่สนใจหรอก การไม่โดนท่านลงโทษ สำหรับข้านั่นถือว่าเป็นรางวัลแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ฉินเฟิงก็ถูกเตะไปหนึ่งที
ฉินเทียนหู่ดึงเข็มขัดพลางกัดฟัน “พอให้ท้ายเข้าหน่อย เจ้าก็เอาใหญ่เลยนะ!”
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปในจวนตระกูลฉินพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนอันน่าเวทนาของนายน้อยประจำจวน
ก่อนที่รถม้าจะทันได้หยุดสนิท ฉินเฟิงก็รีบวิ่งกระโดดออกไปพลางร้องไห้ “ช่วยด้วย ฆ่าคนแล้ว!”
หลิ่วหงเหยียนที่กลับมาก่อน ได้ยินเสียงโหยหวนราวสุกรถูกเชือดก็รู้ว่าเป็นน้องชาย รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปากของนาง “เจ้าเด็กตัวแสบ ทั้ง ๆ ที่วันนี้ทำความดีความชอบ แต่กลับถูกท่านพ่อตีจนร้องไห้โหยหวน ระหว่างทางคงพูดจาวอนหาเรื่องจนทำให้ท่านพ่อขุ่นเคืองเป็นแน่”
เสิ่นชิงฉือแค่นเสียงในลำคอ แม้ภายนอกนางจะดูหมิ่นฉินเฟิง แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่หอวิจิตรศิลป์วันนั้น หัวใจของนางก็เต้นแรง “หนึ่งวันไม่ตี ปีนหลังคาเราะกระเบื้อง*[1] สมน้ำหน้านัก”
จิ่งเชียนอิ่งไม่เคยสนใจเรื่องของน้องชายมาก่อน แต่ช่วงนี้ฉินเฟิงทำตัวเด่นเกินไป เป็นเรื่องยากที่นางจะเมินเฉย ดังนั้นนางจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “เห็นแก่ที่เขาทำความดีให้กับตระกูลฉินในวันนี้ ข้าจะไม่เอาความกระไรกับเขาก็แล้วกัน”
ในขณะที่พูด ฉินเฟิงก็สะดุดเข้าไปในห้องโถง เมื่อเห็นพี่หญิงทั้งสามคนอยู่ด้วยกันก็ราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตไว้ได้ เขาพุ่งตัวไปข้างหลังหลิ่วหงเหยียน แล้วคร่ำครวญอย่างน้อยอกน้อยใจ “พี่หญิงรอง ข้าทำงานหนักเพื่อตระกูลฉินใช่หรือไม่ วันนี้ไม่ง่ายเลย แต่สุดท้ายก็โดนเฆี่ยน นี่ใช้ได้ที่ไหนกัน?”
ฉินเฟิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าสงสัยอย่างยิ่งว่าข้าอาจไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่านพ่อ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาจึงจัดการข้าเช่นนี้ ไม่มีเรื่องมีราวอะไรก็มาเฆี่ยนตีข้า มีบิดาที่ไหนเป็นแบบนี้บ้างเล่า”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ