บทที่ 796 บทกวีหนึ่งบทเทียบเท่าชนะม้าหมื่นตัว
ณ ค่ายใหญ่เอี้ยนหนานกวน ข่าวที่ส่งมาจากเทือกเขาสยงอิง ทำให้หลู่ฉือตกใจจนพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่
หลี่โฉวที่อยู่ข้าง ๆ เห็นหลู่ฉือมีท่าทีแปลกประหลาด จึงเกิดความสงสัยขึ้นมา เขารับจดหมายมาตรวจดูอย่างละเอียด และผลลัพธ์ก็คือดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านโหวฉินก่อเรื่องใหญ่ขึ้นที่เมืองอวี่จริง ๆ”
“เมืองอวี่เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยตี๋เรา เป็นที่รวมตัวของบัณฑิตและสตรีงดงามมากมาย แต่ท่านโหวฉินกลับประกาศต่อหน้าผู้คนว่า ไข่มุกที่สูญหายของอดีตฮ่องเต้กำลังจะกลับคืนสู่ศาลบรรพชนของราชวงศ์ นี่มิใช่เท่ากับประกาศสงครามกับฝ่าบาทโดยตรงหรือ?!”
“ตามหลักแล้ว แม้ท่านโหวฉินต้องการสนับสนุนองค์หญิงของอดีตฮ่องเต้ ทว่าก็ควรเข้าเมืองหลวงเพื่อหยั่งเชิงท่าทีของฝ่าบาทก่อน แต่นี่กลับไม่ได้พบหน้าฝ่าบาทเลย แล้วยังทำให้สถานการณ์ถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขได้ ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดของท่านโหวฉิน เขาไม่น่าจะกระทำการโง่เขลาเช่นนี้”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘โง่เขลา’ หลู่ฉือก็ขมวดคิ้วแน่น
หลู่ฉือมองฉินเฟิงเป็นที่พึ่งมานานแล้ว ย่อมทนฟังถ้อยคำดูหมิ่นใด ๆ ต่ออีกฝ่ายไม่ได้ จึงโต้แย้งทันที “ท่านหลี่ วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และความสามารถของท่านโหวฉิน ยังจำเป็นต้องสงสัยอีกหรือ?”
“เมื่อท่านโหวฉินประกาศให้ทั่วหล้ารู้ล่วงหน้าถึงเรื่องที่องค์หญิงจะเสด็จกลับ ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา”
“แม้พวกเราจะยอมจำนนต่อท่านโหวฉินในนาม และความจริงพวกเราคือผู้สนับสนุนขององค์หญิง แต่ผลได้ผลเสียในเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราต้องกังวล เพียงทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด คุ้มกันองค์หญิงเสด็จกลับเมืองหลวงก็พอ”
หลี่โฉวรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ของหลู่ฉือ ในใจจึงอดชื่นชมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่ฉินเฟิงสังหารพี่น้องตระกูลเฉิน และสังหารหมู่กองทัพหมาป่าหิมะ หลู่ฉือก็ภักดีต่อฉินเฟิงอย่างสุดหัวใจแล้ว
แม้หลี่โฉวจะมีความคิดฉับไว แต่ก็เข้าใจดีว่าตอนนี้สถานการณ์บีบบังคับ และหนทางรอดเดียวของตนก็คือการพึ่งพาฉินเฟิง
เขาไม่คิดถึงเหตุการณ์ในเมืองอวี่และปัญหาการเมืองที่ตามมาอีกต่อไป แต่กลับเปลี่ยนเรื่องพูด ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและกล่าวว่า “ความสามารถของท่านโหวฉินนั้นหาที่เทียบได้ยาก เกรงว่าอีกไม่นานท่านจะกลายเป็นปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงทั่วแผ่นดิน”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลู่ฉือก็พยักหน้าเห้นด้วยทันที “ถูกต้อง! ความสามารถทางการทหารของท่านโหวฉินนั้นไม่ต้องสงสัย บัดนี้ยังมีชื่อเสียงด้านบทกวีเพิ่มเข้ามา หากท่านโหวฉินยังไม่นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แล้วจะมีผู้ใดสมควรกับคำยกย่องนี้อีกเล่า?”
ในขณะเดียวกัน ณ ที่ว่าการอำเภอเป่ยซี จู่ ๆ ก็มีเสียงอุทานดังขึ้น
หลินฉวีฉีปรบมือชื่นชมไม่หยุด ดวงตาเปล่งประกายร้อนแรง “ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน!”
หลินฉวีฉีเปล่งเสียงร้อง “ดี” ติดต่อกันสามครั้ง มือถือจดหมายที่เทือกเขาสยงอิงส่งกลับมา เพราะตื่นเต้นเกินไป สองมือถึงกับสั่นเล็กน้อย
“ช่างเป็นบทกวี ‘ทำลายค่ายกล’ ที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นตัวบทกวีเอง หรือความหมายอันเศร้าสลดที่แฝงอยู่ ล้วนไม่ด้อยไปกว่าบทกวี ‘ออกด่าน’ ที่มีชื่อเสียงก้อง”
“ยามเมามายข้าชักดาบใต้แสงตะเกียง ฝันถึงเสียงแตรเรียกทัพในค่าย แปดร้อยลี้แบ่งทหารใต้บัญชา ห้าสิบสายพิณดังก้องนอกด่าน สนามรบฤดูใบไม้ร่วงเกณฑ์ทหาร!”
แม้แต่หลินฉวีฉีเองก็จำไม่ได้ว่าเขาท่องบทกวี ‘ทำลายค่ายกล’ ซ้ำกี่ครั้งแล้ว
เขารู้สึกเพียงว่าหัวใจเต้นรัว ความเคารพนับถือที่มีต่อฉินเฟิงนั้นยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้
แต่ขณะที่อ่านไปเรื่อย ๆ หลินฉวีฉีก็รู้สึกหดหู่อีกครั้ง เขาส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น “แม้ข้าจะรู้ดีว่าความสามารถทางบทกวีของข้ากับท่านโหวฉินนั้นแตกต่างกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะห่างกันมากถึงเพียงนี้”
“ไม่ว่าจะเป็นออกด่านหรือทำลายค่ายกล ก็ล้วนเป็นบทกวีอันยอดเยี่ยมที่ข้าไม่มีวันเขียนได้ตลอดชีวิต”
“ยิ่งอยู่กับท่านโหวฉินนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น…”
ขณะนี้ซื่อจื่อหลี่จางกำลังดำเนินการสร้างป้อมปราการที่เทือกเขาสยงอิงขึ้นใหม่ตามคำสั่งของฉินเฟิง จึงไม่อยู่ที่อำเภอเป่ยซี
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ สวีโม่ไม่สามารถไปไหนได้ จึงนั่งพูดคุยสัพเพเหระกับหลินฉวีฉียามว่าง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ