บทที่ 85 ซื้อเวลา
มือปราบต่างรุมจับ ‘พยาน’ ที่มารวมตัวกันที่หน้าประตู ก่อนทุกคนจะถูกนำตัวออกไปโดยไม่มีการสอบปากคำ
ฉากหน้าก็บอกว่านำตัวไปรอการพิจารณาคดี แต่จริง ๆ ปล่อยคนพวกนั้นไปแล้ว เพราะท้ายที่สุดก็เป็นคนของตัวเอง
ฉีเชิ่งเป็นเจ้ากรมเมืองมาหลายปี ไม่เคยต้องอับอายขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เขาแค่อยากจะจับฉินเฟิงเข้าคุกและถลกหนังออก จึงตะโกนด้วยความโกรธทันที “ผู้ที่มีส่วนร่วมในการกบฏได้ถูกควบคุมตัวไปแล้ว ฉินเฟิงมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
เกาซงและจ้าวฉางฟู่ที่อยู่ข้าง ๆ มองหน้ากันแล้วยกยิ้ม
ในใจคิดว่าฉินเฟิงคนฉลาดสุดท้ายก็ถูกความฉลาดของตนเล่นงานจนได้ เนื่องจากพยานทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏ นี่จึงเป็นการพิสูจน์ความผิดของฉินเฟิงทางอ้อม
เมื่อได้ฟังคำเยาะเย้ยของเกาซงและคนอื่น ๆ ฉินเฟิงก็ไม่สนใจและยักไหล่ “ข้าไม่มีอะไรจะพูด”
ดวงตาของฉีเชิ่งเป็นประกาย ฉากตบตาจบลงแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือจับฉินเฟิงเข้าห้องขัง จากนั้นทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
เมื่อฉีเชิ่งยกค้อนขึ้น ฉินเฟิงก็ยกมือขึ้นทำท่าทางยอมให้จับกุม “ใต้เท้าโปรดส่งข้าไปที่หน่วยลาดตระเวนด้วย”
ค้อนในมือของฉีเชิ่งค้างอยู่กลางอากาศ เขาตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ และโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “ฉินเฟิง! เจ้ากล้าหลอกข้าได้อย่างไร!”
ฉินเฟิงแสดงท่าทางของคนบริสุทธิ์ “ใต้เท้าคือเจ้ากรมเมืองผู้สูงส่ง แม้ว่าจะให้ข้ามีร้อยความกล้า ข้าก็ไม่กล้าแกล้งหลอกใต้เท้า”
“ใต้เท้าเป็นเจ้ากรมเมือง รับผิดชอบงานกิจการพลเรือน และการดำรงชีวิตของผู้คนในเมืองหลวง อาชญากรรมร้ายแรงเช่นการจลาจลหรือการกบฏนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของท่าน ย่อมต้องส่งมอบให้กับหน่วยลาดตระเวน ใต้เท้าใช้อำนาจเกินขอบเขต ไม่เห็นหน่วยลาดตระเวนอยู่ในสายตา หรือว่าจริง ๆ มีเจตนาแอบแฝงเล่า”
“เว้นเสียแต่ว่า…”
ฉินเฟิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาส่งคมมีดไปให้ฉีเชิ่ง “ใต้เท้าจะใช้ข้อหารวบรวมฝูงชนเพื่อก่อความวุ่นวายหรือก่อเหตุบนท้องถนนตัดสินข้า หากเป็นเช่นนั้น เจ้ากรมเมืองก็จะมีอำนาจในการตัดสินความ”
ใบหน้าของฉีเชิ่งซีดเผือด หากเปลี่ยนความผิดของฉินเฟิงเป็นรวบรวมฝูงชนก่อความวุ่นวาย เขาก็จะไม่สามารถลงมือโหดร้ายกับเจ้านี่ได้ ไม่เช่นนั้นหากความผิดเบาแต่ถูกลงโทษหนัก เจ้ากรมเมืองอย่างเขาคงตกเป็นคนผิดแทน
เมื่อฉีเชิ่งอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เสียงตะโกนเย็นชาของเกาซงก็ดังขึ้น
“เช่นนั้น ความผิดของเจ้าคือการรวบรวมฝูงชนก่อความวุ่นวาย!”
ความตั้งใจของเกาซงชัดเจนมาก เขาต้องการที่จะพาฉินเฟิงเข้าคุก เมื่อเวลานั้นมาถึงก็มีหลายวิธีที่จะจัดการกับนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้
เมื่อได้ยินคำพูดของเกาซง ฉีเชิ่งก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขากำลังจะตัดสินฉินเฟิงที่รวบรวมฝูงชนเพื่อก่อความวุ่นวาย แต่ก็ถูกฉินเฟิงขัดจังหวะอีกครั้ง
นายน้อยฉินส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าจำไม่ผิด บุตรหลานขุนนางขั้นสามขึ้นไปที่ก่อความผิดควรได้รับการดูแลและสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่จากกรมขุนนาง แต่ที่นี่ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่จากกรมขุนนางสักคน เกรงว่าท่านจะสรุปคดีตามอำเภอใจไม่ได้”
ฉีเชิ่งแทบจะกระอักเลือด ในฐานะเจ้ากรมเมือง ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายต้าเหลียงของเขายังไม่ดีเท่ากับเจ้าเด็กเหลือขอที่อยู่ตรงหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะกัดฟัน “เจ้าฉินเฟิง! ถ้าวันนี้ข้าไม่สามารถตัดสินเจ้าได้ ข้า… ข้า… นี่ เด็ก ๆ! ไปเรียกเจ้าหน้าที่กรมขุนนางมาตรวจสอบสิ!”
ในศาลาว่าการกรมเมืองมีเจ้าหน้าที่กรมขุนนางประจำการอยู่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสอบสวนบุตรหลานขุนนาง
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชา ชายชราร่างเล็กไว้เคราผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องโถง
ฉีเชิ่งกำลังโกรธมากจนไม่ได้ใส่ใจตรวจสอบเจ้าหน้าที่กรมขุนนางคนนั้น เขาลุกขึ้นตะโกนด้วยความโมโห “ฉินเฟิง! ตอนนี้ข้าตัดสินเจ้าได้หรือยัง!”
มุมปากของฉินเฟิงกระตุก อยากจะพูด ‘ตัดสินบ้านเจ้าสิ!’ ใส่หน้าอีกฝ่าย
แต่ไม่มีทางอื่นแล้ว เขาไม่อาจยั่วยุอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อซื้อเวลาแล้ว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ