บทที่ 901 โอกาสมาแล้ว
เดือนสิบสอง หิมะตกหนักครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเพียงร้อยปีครั้งกวาดผ่านครึ่งหนึ่งของดินแดนเป่ยตี๋
เป็นพายุหิมะที่มาอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
มีคำกล่าวว่า หิมะที่ดีเป็นลางบอกเหตุปีอุดมสมบูรณ์ หากเป็นปีก่อน ๆ หิมะคราวนี้อาจมีผลดีอยู่บ้าง แต่สำหรับเป่ยตี๋ตอนนี้ หิมะกลับเป็นเหมือนการเติมเชื้อไฟลงบนกองเพลิง
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือราชสำนักต่างก็เคลื่อนไหวลำบาก กิจกรรมส่วนใหญ่หยุดชะงัก ติดขัด
นับตั้งแต่หิมะเริ่มตก ผ่านไปเพียงสิบวัน ภัยพิบัติก็ระเบิดขึ้นในที่ต่าง ๆ ประชาชนนับไม่ถ้วนล้มตายเพราะความหนาวเย็นและอดอยาก เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นพากันถวายฎีกาขอความช่วยเหลือไปยังเมืองหลวง หวังว่าฮ่องเต้จะเปิดโรงเก็บเสบียงแจกจ่ายอาหาร บรรเทาทุกข์ประชาชน เพื่อให้ผ่านพ้นฤดูหนาวอันยากลำบากนี้ไปได้
น่าเสียดาย จดหมายที่ส่งมาถึงเมืองหลวงจากทุกสารทิศจมหายไปในทะเลใหญ่ ไม่ก่อให้เกิดระลอกคลื่นลมใด ๆ อย่าว่าแต่จะสร้างคลื่นลูกใหญ่เลย
ฎีการ้องขอความช่วยเหลือ ฮ่องเต้เป่ยตี๋ทรงอ่านทั้งหมดแล้ว แม้จะเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังตัดสินพระทัยอย่างยากลำบาก ยกเลิกการบรรเทาทุกข์ทั้งหมด ราษฎรจะผ่านพ้นฤดูหนาวอันโหดร้ายนี้ไปได้หรือไม่ ล้วนต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น
การตัดสินใจที่ช่างเย็นชาราวไร้หัวใจของฮ่องเต้เป่ยตี๋ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนัก
การบรรเทาทุกข์ไม่ใช่การพูดลอย ๆ ตอนนี้หิมะตกหนัก ปิดกั้นทางเข้าออก ต้นทุนในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างที่ไม่เป็น หากเป็นในอดีต การขนส่งธัญพืชหนึ่งต้านก็จะสูญเสียธัญพืชแค่หนึ่งต้าน แต่ตอนนี้ ขนส่งธัญพืชหนึ่งต้านกลับต้องสูญเสียถึงสามต้าน ความเสียหายมหาศาลเช่นนี้ แทบจะเทียบเท่ากับการส่งเสบียงฉุกเฉินไปยังแนวหน้าสนามรบเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมเป่ยตี๋ก็ขาดแคลนอาหารอยู่แล้ว การช่วยเหลือพื้นที่ใด ๆ ก็เปรียบเสมือนการดื่มยาพิษเพื่อดับกระหายหากทุ่มเทสุดกำลังช่วยเหลือทางตะวันออก แต่ไม่ช่วยทางตะวันตก ทางตะวันตกย่อมเกิดการจลาจลทางตะวันตก ถึงตอนนั้น สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
ภายในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้เป่ยตี๋กังวลจนสีหน้าไม่สู้ดี นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างแคว้น สถานการณ์ภายในแคว้นเป่ยตี๋ก็แย่ลงเรื่อย ๆ
มองย้อนกลับตั้งแต่ครั้งอดีต เป่ยตี๋ใช้สงครามหล่อเลี้ยงสงคราม แต่พอมาถึงรัชสมัยของพระองค์ การใช้สงครามเสี่ยงชะตาบ้านเมืองกลับทำให้พระองค์ตกหลุมพรางเสียเอง
หลักการที่ว่า การเดิมพันไม่อาจชนะได้ตลอด ฮ่องเต้เป่ยตี๋ทรงทราบดี แต่…เหตุใดต้องเป็นพระองค์ที่เผชิญหน้ากับฉินเฟิง
เฉินซือกับหลี่อวี้ที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็มีสีหน้าหม่นหมอง หิมะตกหนักคราวนี้ราวกับว่าสวรรค์จงใจ ลงโทษเป่ยตี๋ที่ทำสงครามไม่หยุดยั้ง ซ้ำเติมสถานการณ์ภายในแคว้นเป่ยตี๋ที่วิกฤติอยู่แล้วให้ยิ่งเลวร้าย
แม้เฉินซือจะรู้ดีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซางโจวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อฮ่องเต้เป่ยตี๋ แต่ยามนี้บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตหนัก ต้องคำนึงถึงภาพรวมก่อน เขาจึงต้องรวบรวมความกล้า กราบทูลเตือนฝ่าบาท
“ฝ่าบาท จากการที่กระหม่อมได้ศึกษามาระยะหนึ่ง กระหม่อมสามารถคาดเดาเจตนาของฉินเฟิงได้แล้ว”
“ซางโจวถูกฉินเฟิงยึดครองอย่างมั่นคง ส่วนทางจัวโจวต้องเผชิญกับไฟสงครามมาต่อเนื่อง นับตั้งแต่เริ่มสงครามจนถึงตอนนี้ยังไม่มีเมืองหลักใดตกอยู่ในมือข้าศึก ผิวเผินเหมือนฝ่ายเราได้เปรียบ แต่แท้จริงเป็นอุบายของฉินเฟิง”
“ตราบใดที่เมืองหลักต่าง ๆ ในจัวโจวยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นจัวโจวหรือราชสำนักต่างก็มีความมั่นใจที่จะสู้รบต่อ และเมื่อเรารบต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นเราที่จมลงในปลักสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น”
“กระหม่อมเห็นว่า เพียงป้องกันเมืองหลักต่าง ๆ ในจัวโจวไว้ แล้วใช้กลยุทธ์ตั้งรับก็เพียงพอ ไม่ควรส่งกำลังเสริมไปยังจัวโจวอีกแล้ว ตอนนี้แคว้นเป่ยตี้เราไม่อาจทนรับความสูญเสียใด ๆ ได้อีก”
ฮ่องเต้เป่ยตี๋จะไม่เข้าใจความตั้งใจอันดีของเฉินซือได้อย่างไร และเขาก็เข้าใจด้วยว่า เฉินซือรู้จักฉินเฟิงดีกว่าเขา กลยุทธ์รับมือที่เฉินซือเสนอมาย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้แล้ว

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ