บทที่ 902 การเผชิญหน้าที่ใกล้เข้ามา
เฉินซือกังวลว่า การเจรจาสงบศึกระหว่างสองแคว้นในอดีตจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะคนอย่างฉินเฟิง หากมีโอกาสแม้เพียงนิดก็จะบีบคั้นฝ่ายตรงข้ามจนถึงที่สุด
หลี่อวี้ที่เดินมาด้วยกันมองออกถึงความกังวลของเฉินซือ เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพเฉิน ตอนนี้การจะเอาชนะฉินเฟิงอย่างราบคาบ เป็นไปไม่ได้แล้ว ทางเดียวที่เหลือคือ ต้องเลือกเอาความเสียหายที่น้อยกว่าระหว่างสองทางเลือก”
“ทั้งจังหวะเวลา ภูมิประเทศ และกำลังคน พวกเราชาวต้าตี๋ไม่ได้เปรียบเลยสักอย่าง หิมะตกหนักครั้งนี้ที่เกิดขึ้นเพียงร้อยปีครั้งนี้อาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อูฐล้ม มีเพียงการเจรจากับฉินเฟิงที่จะทำให้พวกเราได้หายใจหายคอ”
“ทางด้านจัวโจวให้ใช้กลยุทธ์ป้องกันเมืองสำคัญ พยายามลดการสูญเสียให้มากที่สุด พร้อมกับถ่วงเวลากองกำลังกบฏจากซางโจวไว้ ส่วนทางด้านเมืองหลวง ให้พยายามเจรจากับฉินเฟิงอย่างสุดความสามารถ ด้วยการดำเนินการทั้งสองด้านพร้อมกันนี้จึงจะทำให้พวกเราชาวต้าตี๋ผ่านพ้นวิกฤติฤดูหนาวอันโหดร้ายนี้ไปได้อย่างปลอดภัย”
ได้ยินคำพูดนี้ สายตาของเฉินซือพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เจ้าเด็กฉินเฟิงมีความทะเยอทะยาน ป่าเถื่อน ไม่ว่าจะแสดงออกถึงความปรารถนาดีแค่ไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความชั่วร้ายที่ฝังอยู่ในกระดูกของเขาได้ เขายังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำลายบ้านเมืองของพวกเราต้าตี๋!”
หลี่อวี้ก็เข้าใจชัดเจนว่าฉินเฟิงเป็นภัยพิบัติต่อสถานการณ์ทางการเมืองของเป่ยตี๋ในปัจจุบัน
อาจเป็นไปได้ว่า ฉินเฟิงไม่สนใจเรื่อง ‘การล่มสลายของแคว้นและการสูญพันธุ์’ แต่การโค่นล้มฮ่องเต้เป่ยตี๋ลงจากบัลลังก์และการล้มล้างระบอบการปกครองที่มีอยู่อย่างสิ้นเชิงคือเป้าหมายสูงสุดที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของเขา ท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงกับองค์หญิงจิ่งอวี้ซูคือสามีภรรยา การสนับสนุนให้องค์หญิงของฮ่องเต้องค์ก่อนกลับคืนสู่ราชวงศ์จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ฉินเฟิงเป็นอันตรายต่อแคว้นจริงหรือ?
อาจไม่ใช่ก็ได้!
ภายใต้การใช้กำลังทหารไม่ยั้งของฮ่องเต้เป่ยตี๋ ทั้งแคว้นเป่ยตี๋ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เสี่ยงล่มสลาย ผู้ที่ฆ่าฟันเผาบ่้านเมืองกลับได้รับเข็มขัดทองคำ แต่ผู้ที่ซ่อมแซมสะพานสร้างถนนกลับไม่เหลือแม้แต่ซากศพ ต่างจากอำเภอเป่ยซีกับซางโจวที่อยู่ภายใต้การปกครองของฉินเฟิงที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเหตุผลทางจุดยืน หลี่อวี้ก็หวังว่า ฉินเฟิงจะเป็นผู้ปกครองแคว้นเป่ยตี๋มากกว่า อย่างน้อยประชาชนก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุขและมั่งคั่ง
แน่นอน ความคิดก็เป็นเพียงแค่ความคิด ไม่ว่าอย่างไรหลี่อวี้ก็ไม่อาจเอ่ยปากพูดออกมาได้
แม้จะรู้ดีว่าการช่วยเหลือฮ่องเต้เป่ยตี๋เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หลี่อวี้ก็จำต้องฝืนใจทำต่อไปจนถึงที่สุด
เขาถอนหายใจยาว “ยามนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ขอท่านแม่ทัพเฉินปฏิบัติตามพระบัญชาของฝ่าบาทเถิด”
เฉินซือไม่พูดอะไรอีก แยกย้ายกับหลี่อวี้ไปอย่างเงียบ ๆ
หนึ่งวันผ่านไป ฉินเฟิงได้รับข่าวจากเมืองหลวงเป่ยตี๋ ทราบว่า ในที่สุดฮ่องเต้เป่ยตี๋ก็เรียกเขาเข้าเฝ้าแล้ว ฉินเฟิงถึงกับหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆๆ เป่ยตี๋ ๆ ฮ่องเต้เป่ยตี๋ทนไม่ไหวเสียแล้ว ข้าก็ว่าแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องเรียกข้าเข้าเฝ้า”
หลี่เซียวหลานที่อยู่ในอ้อมกอดของฉินเฟิงถามเสียงเบา “เฟิงเอ๋อร์ การเรียกเข้าเฝ้าคราวนี้ของฮ่องเต้เป่ยตี๋ย่อมต้องเกี่ยกับเมืองจัวโจว ถึงเวลานั้นคงหลีกเลี่ยงการโต้เถียงไม่ได้ พวกเขาพยายามทุกวิถีทางให้เจ้าถอย แล้วเหตุใดเจ้าจึงดีใจ?”
ฉินเฟิงไม่รีบร้อนอธิบาย เขาลูบไล้ริมฝีปากเล็ก ๆ ของหลี่เซียวหลาน ก่อนจะบดจูบดุดัน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ