บทที่ 989 สถานการณ์สงครามพลิกผันรวดเร็ว
ภายใต้สายตาของฉินเฟิง หลิ่วหมิงพยักหน้าเบา ๆ
“รายงานท่านโหวฉิน ตามข้อมูลที่ฉีย่ารวบรวมมา กองพลพญาอินทรีไม่ได้กลับมายังเมืองหลวงปกป้องฮ่องเต้เป่ยตี๋ อีกทั้งกรมกลาโหมและกรมคลังก็กำลังส่งกำลังพลและพลาธิการไปยังเอ้อโจว สรุปได้ว่าฮ่องเต้เป่ยตี๋ยังคงติดต่อกับกองพลพญาอินทรีอย่างลับ ๆ การเรียกกลับเมืองหลวงเป็นเพียงกลลวง ตอนนี้กองพลพญาอินทรีน่าจะอยู่เอ้อโจวและกำลังต่อสู้กับกองทัพจากเป่ยซีเราขอรับ”
ได้ยินแบบนี้ ฉินเฟิงอดถอนหายใจ สมกับคำกล่าวที่ว่ากลัวสิ่งใดเจอเช่นนั้นจริง ๆ
ฮ่องเต้เป่ยตี๋ไม่ใช่คนไร้ความสามารถ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากก็ไม่มีทางนั่งรอความตาย การเรียกกองพลพญาอินทรีที่แข็งแกร่งที่สุดของเป่ยตี๋กลับเมืองหลวงมาป้องกันเมืองจะกลายเป็นการเสียเปรียบ
สิงที่กองพลพญาอินทรีถนัดที่สุดก็คือการรบในที่โล่ง การโจมตีเชิงรุกจึงจะสามารถแสดงศักยภาพสูงสุดได้ แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงการคาดเดาและยังไม่มีการยืนยันว่ากองพลพญาอินทรีเข้าร่วมสงครามแล้ว แต่จากความเคลื่อนไหวของกรมการคลังและกรมกลาโหมก็สามารถคาดเดาได้ โอกาสที่กองพลพญาอินทรีจะกำลังปะทะกับกองกำลังเป่ยซีมีมากถึงแปดในสิบส่วน
ตามการวางกำลังเบื้องต้นของฉินเฟิง หากทุกอย่างราบรื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลงนัก กองกำลังที่อยู่ใกล้ตอนเหนือของเอ้อโจวมากที่สุดในตอนนี้จะเป็นกองกำลังรบไกลเป่ยซี
พอคิดว่าตอนนี้กองทัพรบไกลเป่ยซีอาจจะกำลังปะทะกับกองพลพญาอินทรีแล้วฉินเฟิงก็ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
พลังรบของกองทัพรบไกลเป็นอันดับหนึ่งของอำเภอเป่ยซีอย่างแท้จริง หากพูดถึงกำลังโดยรวมแล้วไม่มีกองกำลังใดสามารถต่อกรกับกองทัพรบไกลเป่ยซีได้ แม้แต่องครักษ์ค่ายเทียนจีก็ยังทำไม่ได้ องครักษ์ค่ายเทียนจีมีกองกำลังน้อยเกินไป และปกติก็ไม่ใช่กองกำลังหลักในการรบ เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพรบไกลเป่ยซีย่อมยังไม่สามารถต่อต้านได้
แต่ก็มีปัญหาอยู่กองกำลังชั้นยอดควรจะเป็นหอกแหลมที่ฉีกแนวป้องกันของเอ้อโจวออกเป็นสองส่วน มุ่งหน้ามายังเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว หน้าที่ของกองทัพรบไกลไม่ใช่การต่อสู้กับศัตรูอย่างดุเดือด แต่เป็นการทำหน้าโจมตีครั้งสุดท้าย
หากถูกกองพลพญาอินทรีรั้งไว้ไม่เพียงแต่จะพลาดโอกาสในการรบ แต่ยังต้องเผชิญกับการสูญเสียหนักซึ่งจะทำให้กองกำลังอ่อนแอลง
แม้แต่กองทัพที่เก่งกาจที่สุด เมื่อลงสนามรบก็หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายไม่ได้ สุดท้ายพวกเขาก็เป็นเพียงทหาร มีเนื้อหนังมังสา ดาบฟันลงมาก็สะบั้นได้ ลูกธนูยิงมาก็ตายได้ พวกเขาไม่ใช่เทพเจ้าที่อาวุธไม่อาจทำร้าย
ด้วยขวัญกำลังใจของกองทัพรบไกลเป่ยซีไม่ต้องพูดถึง พวกเขาพร้อมต่อสู้จนเหลือทหารคนสุดท้าย แต่นั่นก็จำกัดอยู่เพียงการรบป้องกันเมือง สำหรับการรบในที่โล่ง คำกล่าวนี้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าความกล้าหาญส่วนบุคคลจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถสู้กับกองกำลังที่มากกว่าได้ หากกองทัพรบไกลเป่ยซีสูญเสียสามส่วน พวกเขาจะสูญเสียความสามารถในการเจาะทะลวงแนวป้องกันทางตอนเหนือของเอ้อโจวไป หากอัตราการสูญเสียเกินห้าส่วน พวกเขาจะไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ต้องถอยกลับ หากสูญเสียสูงถึงเจ็ดส่วนก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่อยู่กับที่ รอคอยความตาย
ทหารที่หลุดรอดออกไปเพียงไม่กี่คนไม่นับ กองกำลังหลักและพลาธิการจะถูกถ่วงด้วย ‘ผู้บาดเจ็บ’ ทำให้ไม่สามารถถอนกำลังออกไปได้ จำเป็นต้องตั้งรับอยู่กับที่ ฝ่ายศัตรูก็จะรวบรวมกองทหารม้ามาโจมตีด้วยกำลังที่เหนือกว่า กัดกร่อนและทำลายจนหมดสิ้น
ฉินเฟิงขมวดคิ้วแน่น กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “กองทัพรบไกลเป่ยซีต้องไม่มีข้อผิดพลาด หาไม่หากหอกแหลมสูญเสียกำลัง สถานการณ์สงครามจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน”
“ถึงกองกำลังหลักจะตามมาถึง แต่ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพในการรบหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ก็ยังมีช่องว่าง ไม่สามารถทดแทนคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของกองทัพรบไกลเป่ยซี แม้จะบุกโจมตีแนวป้องกันตอนเหนือเอ้นโจวอย่างหนักหน่วงก็จะจมอยู่ในการรบยืดเยื้อ”
“เวลาคือข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของพวกเรา เป่ยตี๋ไม่สามารถรอได้ พวกเราก็เช่นกัน”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ